7/22/2551 10:20:00 หลังเที่ยง

จุดยืนที่ยังไม่เปลี่ยน

เขียนโดย VARAVEE |

พอดีวันนี้คุณศรันยู โทรมา หา เลยคิดว่าบทสนทนาวันนี้น่าจะมีประโยชน์ ต่อพ่อแม่ที่มีลูกเก่ง หรือ ในอนาคตที่ยังไงก็เก่ง แบบ คุณ ภุชงค์ แฮะแฮะ กดดันไหมนี่

จริงๆแล้วผมรู้จักคุณศรันยูมามากกว่า 4 ปี ด้วยงานที่ทำ ทำให้คุณศรันยูรู้จักผม และด้วยการเลี้ยงลูกที่คล้ายกัน

คุณศรันยู คือ ตัวแบบของ หนังสือก่อนอนุบาล อีกคนหนึ่ง ที่ ชัดเจน ไม่ว่า จะเป็นไวโอลิน ภาษา จีน อังกฤษ ว่ายน้ำ เทนนิส หมากฮอส รวมถึง คณิตศาสตร์ ซึ่งแม้เพียง ป.2 ก็ทำเลข ป.6 ได้

บทสนทนาวันนี้ว่าถึงเราควรจะ โฟกัสลงไปในแต่ละวิชาเพื่อดึงศักยภาพ ให้ชัดเจน ของลูกขึ้นมาหรือไม่ เพราะลูกชายคุณศรันยู ดีไปหมด เกิน Average แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้ดีที่สุดหรือไม่

ผมยืนยัน เลยว่า ไม่ เพราะ ผมไม่ต้องการแบบนั้น ผมเข้าใจครับ ว่าพอถึงฤดูการแข่งขัน จะมีคำถามแบบนี้เข้ามา เยอะ และยิ่งลูกใกล้วัยที่แข่ง และความสามารถลูกถึงนี่ พ่อแม่ อดไม่ได้

พ่อแม่นี่ไม่เท่าไร ครูที่โรงเรียน อดไม่ได้ด้วยนี่สิ

ทำไมล่ะทำไม แล้วฝึกลูกมาทำไมล่ะ ฝึกหนักนะนั่น มาตั้งแต่เล็ก แต่ไม่ได้ต้องการแข่ง

จุดยืนผมยังอยู่ที่เดิมครับ

คือ ถ้าเขาจะแข่ง เขาจะเป็นผู้เลือก และอาจไม่จำเป็นต้องแข่งแต่เล็ก เพราะ ยังไงวัดตอนเล็กไม่มีผลอะไร

เพราะเราอุตส่าห์ทำมาตั้งเยอะแยะ ทั้ง ดนตรี กีฬา ภาษา เราไม่ได้หวังให้ลูกเป็นเลิศในด้านคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์

ผมหวังให้ลูกอยากเป็นอะไรก็ได้แล้วลูกจะได้เป็น…..เพราะพ่อได้มอบคาถาวิเศษไว้แล้ว คือวินัย และความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

ผมบอกคุณศรันยูว่า ถ้าเราเอาลูกสอบ คณิตศาสตร์ เราก็อาจจะสูญเสียเวลาว่ายน้ำ ตีเทนนิส เล่นไวโอลิน เพราะเราต้องเริ่ม โฟกัสลงไป เพราะเมื่อแข่งแล้วถ้าอยากชนะ ก็ต้องแลกมา

แต่สำหรับผมแล้ว

ผมขอให้เขาเกาะ Average ชอง 1000 คนแรก ได้ ผมพอใจแล้ว และอาจไม่จำเป็นต้องสอบไปสอบก็ได้ แค่ทำข้อสอบให้เราดูแล้วทำได้ ก็อาจจะพอ

เหตุผลเพราะ เมื่อคุณ เอาลูกไปสอบปั๊ป ลูกทำได้ เรื่องดี และน่ายินดีนะครับ

แต่คุณ คิดต่อได้เลย

อาชีพที่ลูกจะไม่มีวันเลือกในชีวิตการศึกษาของเขา คือ ผู้พิพากษา นักบัญชี นิเทศศาสตร์ ดนตรี ทูต หรืออีกตั้งหลายอย่าง

เพราะ ความหวังของ ครู ในโรงเรียน ครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม  ที่ทำให้เขารู้สึกตั้งแต่ ประถม ว่า น่าจะเป็น แบบนั้นแบบนี้ ยิ่ง เด็กต่างจังหวัด ยิ่งกระจายเร็วจากหมู่หนึ่งถึงอีกหมู่หนึง เลยว่าลูกคุณเก่ง พร้อมใส่อาชีพของลูกให้เสร็จสรรพว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้

ผมจะมีความสุขมาก ถ้าลูกอยากจะเป็น  เพราะเมื่อแรงอยากนั้นถูกกระตุ้น มากระตุ้นในวัยที่เหมาะสมด้วยตัวเขาเอง  มันน่าจะเป็นแรงผลักดันมหาศาลมากกว่า

เช่นถ้าเขาอยากเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติขึ้นมา เขาเริ่มนู้ว่าเขาต้องทำยังไง และพื้นฐานที่เขามีแต่เล็ก นั่นทำให้ การจัดระเบียบร่างกายของเขาไม่ยาก มันเป็น สัญชาตญาณไปแล้ว และผมเชื่อว่าถึงแม้ไม่ได้ทีมชาติ ก็ได้เป็นอย่างน้อยก็ตัวแทนโรงเรียน แน่นอน อาจได้เป็นตัวแทนเขต

แต่มันน่าจะออกมาประมาณ 10 ขวบขึ้นมากกว่า

เพราะฉะนั้น

หน้าที่เราที่เป็นพ่อแม่ก็คือ

ทำให้เขา เกิน Average ในเกือบทุกทุกเรื่องที่เราเห็นว่าสำคัญ ในชีวิตการศึกษาของเขา ในการดำรงชีวิตของเขา

เพราะฉะนั้น ฝึกหนัก แต่ในตอนเล็กไม่ได้หวังอะไรเลยครับ ผมรอ กินผลของมัน อีก 10 ปี เท่านั้น

ไม่ว่าผลจะออกมา เป็นเช่นไร เธออาจจะไปเรียน ภาควิชาโก๊ะ ในคณะวิทยาศาสตร์ ที่ เกาหลี ( เกาหลี เปิดสอน โก๊ะในระดับ ป. ตรี) หรือเธอ เกิดไม่อยากเรียนหนังสือเพื่ออยากไปเป็นนักกีฬา อาชีพ แบบ ฮิคารุ แบบ โทยะ แบบ แทมมี่ นั่นคือสิ่งที่เธอจะได้เป็นผู้เลือก

หรือเธออาจจะเป็น ตัวแทน คณิตศาสตร์ ไปเอาเหรียญโอลิมปิค จนไปถึงเรียน คณะที่ผมไม่ชอบ แต่เธออยากจะเรียน เช่นพลศึกษา

และที่ต้องฝึกหนักขนาด ตั้งแต่เล็ก ก็เพราะ ถ้าเกิดลูกอยากเป็นหมอล่ะ ตายเลย ลืมฝึกมาแต่เล็ก หลุด Average แต่ลูกอยากเป็น แต่กลายเป็นไม่ได้ ผมก็คงรู้สึกผิดที่ไม่ได้สอนเธอมาแต่เล็ก

ผมรับได้หมดครับ ถ้าเธอเป็นผู้เลือก

เพราะฉะนั้นถามว่าถ้าลงสนามแล้ว มาแย่งเวลา ทำกิจกรรมอื่นๆไป เพื่อการแข่งคณิตศาสตร์ แล้วละก็ ผมไม่ทำครับ แต่ถ้าแข่ง โดยไม่แย่งกิจกรรมอื่นๆของผม ผมก็แข่ง คือแข่งเอาสนุก เข้าว่า ละครับ

เพราะฉะนั้น นี่คือเรื่องที่ต่างกันมากมาก ของผม กับคนส่วนใหญ่ คือผมฝึกลูก เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องฝึก

โดยไม่พกความหวังเลยว่าเขาจะเป็นอะไรในอนาคต และสิ่งสำคัญคือไม่ให้สังคมหวังเขาว่าเขาจะเป็นอะไร หรือน่าจะเป็นอะไร ในอนาคต

และก็โชคดีอีกเช่นเคย โรงเรียนลูกผมการแข่งขันเชิงวิชาการจะไม่มี ในตอนประถม ต้น ลูกก็จะไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างจากครู โรงเรียนก็ไม่ได้หวังว่า จะสร้างชื่อเสียงทางนี้ ทั้งๆที่ ผลการสอบคณิตศาสตร์ Onet ของโรงเรียน อยู่ใน อันดับ 25 จากทั่วประเทศ

ก็เล่าให้ฟัง เพื่อยืนยันว่า

จุดยืนผมไม่เปลี่ยนครับ

ดูกระดานโก๊ะ ดีกว่า

il_430xn_1491993

6 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

โห..
กระดานโกะสวยมากค่ะ ทำให้สองสาวฝาแฝดเล่นแบบนี้จริงๆ หรือเปล่าคะนี่

เดี๋ยวเอารูปให้คุณยายดู
แล้ววันหยุดนี้ทำให้ลูกชายเล่นบ้าง

ไม่อยากบอกว่า เรามีความสามารถทางการเย็บผ้านะคะ

ตอนเด็กๆ คุณยายเย็บเสื้อผ้าให้ใส่เอง
คุณยายบอกว่า แม่ของคุณยาย (คุณทวดภช.) ส่งคุณยายไปเรียนกับ พรศรี เดบูตองเชียวนะ

เรื่องเขียน pattern เสื้อ , ตัดเย็บ ได้หมด
ตอนเรียน ม.ปลาย คุณยายก็ตัดเสื้อนักเรียนใส่เอง

ตัวแม่ภช.เอง
คุณยายสอนให้เย็บหมอนข้างเล็กๆ
เป็นตั้งแต่ชั้นประถมสอง

เย็บด้นถอยหลังได้ดีมาก
ฝีมือเย็บราวฝีจักร
เคยเย็บเสื้อ & กางเกงขาสั้นใส่เองทั้งตัวมาแล้ว
เย็บด้วยมือนี่หละ ด้นถอยหลังทั้งตัว
ใช้เวลาอยู่หลายวัน

คุณยายช่วยทำ pattern และตัดผ้าให้ค่ะ

จักรเย็บผ้าในบ้านมีอยู่ 1 ตัว
ใช้เป็นที่เล่นซ่อนหาอยู่หลายปี
คุณยายเพิ่งสอนให้ใช้จักรเย็บผ้าเป็นตอน ป.4

ทุกวันนี้ยังไม่ลืม

แม่ภช.มีดีอย่างเดียว คือ เย็บผ้า
เรื่องถักโครเชต์ นิตติ้ง ไม่สามารถทำได้เลย
เพราะต้องอดทนมากๆ

ต่างกับน้องสาว
รายนั้น ไม่ชอบเย็บผ้าด้วยมือ และจักร
แต่นั่งถักโครเชต์ และนิตติ้งได้เป็นวันๆ เลย

.........

โม้เรื่องตัวเองอยู่นั่นหละ
(มีน้อยเรื่องที่โม้ได้)

กลับมาเรื่องที่พ่อธีร์แอบกดดัน
อิอิ

ยังไง้ ก็ไม่กดดัน
เพราะเราไม่รับความกดดันเจ้าค่า

ขอให้ลูกเป็นคนดี เราพอใจแล้ว
(จุดยืนเหมือนเดิมนะ)

เรื่องเก่ง .. ถ้าได้ค่าเฉลี่ยเราโอเค
เพราะแม่ภช.ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเลย

จะเก่งเรื่องไหนก็ได้
ไม่ต้องคณิตก็ได้ .. แม่ภช.รับได้

ฮี่ๆ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

วันนี้อ่านกระทู้ของแม่นำ ในเว็บรักลูก
แม่นำเป็นแม่ของ "พี่นำ" อดีตเด็กสมาธิสั้น

พี่นำไปแข่งกีฬาหมากรุกสากล
เล่าถึงการเล่นหมากรุกสากล

อ่านแล้วนึกถึงบทความก่อนหน้าเรื่อง
"เล่นกับคนไม่เป็นก็เล่นไม่เป็น"

เห็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นแบบนี้
ชอบจังค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

"จุดยืนผมยังอยู่ที่เดิมครับ คือ ถ้าเขาจะแข่ง เขาจะเป็นผู้เลือก และอาจไม่จำเป็นต้องแข่งแต่เล็ก เพราะ ยังไงวัดตอนเล็กไม่มีผลอะไร"

ดิฉันก็เห็นด้วยค่ะ ดิฉันเองก็คงไม่เปลี่ยน ดิฉันไม่เห็นความสำคัญของการแข่งขัน หากลูกจะแข่งเพราะเขาอยากสนุก อยากลองก็แล้วแต่ ไม่ห้าม แต่ให้ดิฉันไปวิ่งแข่งกะใครไม่เอาหรอก

สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คือการเปิดโอกาสทุกบาน เปิดโลกให้ลูกดู พอถึงเวลาหนึ่ง เขาก็เลือกเองว่า อะไรที่เขาต้องการ เมื่อเขาเลือก เขาก็ต้องยอมรับความสุข ความทุกข์ ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน กับทางที่เขาเลือก รับผิดชอบเอง เมื่อถึงเวลานั้น พ่อแม่ก็เป็นที่ปรึกษาและกำลังใจเท่านั้น

ดูจากตัวเองน่ะค่ะ พ่อแม่บอกให้ทำอะไร ไม่เห็นจะทำตามเลย เวลาพลาด เราก็ต้องโทษตัวเองว่า เราคิดผิดเอง รับผิดชอบเอง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลืมแจ้่งให้ทราบค่ะ ว่าดิฉันเอาข้อมูลเรื่องหนังสือ ที่พ่อธีร์แนะนำให้ ไปลงในเวบบอร์ด กท.หนังสือ แล้วค่ะ อยู่ในห้องพ่อแม่

http://board.raklukefamilygroup.com/viewtopic.php?t=347136&start=240

และขอลาหยุดล่วงหน้าเลย อาจจะไม่ไ้ด้เข้ามาดูอีกหลายสัปดาห์ เพราะจะกลับมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพแล้วค่ะ

ไว้ตอนกลับมาฮานอย จึงจะได้ดูเวบอีก พ่อธีร์เขียน
ไปเรื่อยๆนะคะ จะมาตามสอยทีหลัง และอาจจะมาเล่า
เรื่องหนังสือที่ได้มาด้วยค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลืมแซว คุณศรัญญู

"คุณศรันยู คือ ตัวแบบของ หนังสือก่อนอนุบาล อีกคนหนึ่ง ที่ ชัดเจน ไม่ว่า จะเป็นไวโอลิน ภาษา จีน อังกฤษ ว่ายน้ำ เทนนิส หมากฮอส รวมถึง คณิตศาสตร์ ซึ่งแม้เพียง ป.2 ก็ทำเลข ป.6 ได้"

ไว้ต้องเรียนเชิญให้มาเป็น บก. กิติมศักดิ์ของเวบบล็อก 5Qkids ของดิฉันซะแล้ว จะได้เป็นที่ปรึกษาของเหล่าแม่ๆ โฮมสคูล และคนที่สนใจเรื่องแบบเดียวกับเรา

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

สวัสดีครับคุณพ่อธีร์

ตามมาจากกระทู้รักลูกครับ
ดีใจที่ได้อ่านทรรศนะดีๆจากพ่อธีร์อีกครับ

เห็นด้วยกับจุดยืนของพ่อธีร์ครับ
แต่จะมาเล่าให้ฟังว่าอาทิตย์ที่แล้ว
ผมเพิ่งจะเสียศูนย์ไปหน่อย ทำให้จุดยืนผมหวั่นไหวไปเหมือนกัน

ตอนนี้ ลูกสาวผม5ขวบกว่า เพิ่งpassชั้นที่เดิมควรจะขึ้นอนุบาล3 ก็มาอยู่ป.1 EP Program
เขาเรียนkumonจะจบ level F แล้ว เนื้อหาผ่านมาจะเป็น +-x/เศษส่วน ทศนิยม
และ มีสมการเบื้องต้น และ โจทย์ปัญหาบ้าง
เขาทำโจทย์ทั่วๆไปของเด็กป.6ได้พอสมควร

พอคุณครูที่รร.ทราบ ก็ไม่รอช้าที่จะเรียกลูกสาวผมไปคัดตัวสอบคณิตศาสตร์เพชรยอดมงกุฎกับพี่ๆป.3ทันที

ผมเองก็สองจิตสองใจ คือ ใจก็ไม่อยากให้ไปแข่งแบบนี้หรอกครับ เพราะ รู้มาว่าข้อสอบมันยากเกินเด็กป.3ไปเยอะ ที่ดูๆมามันก็ยากขึ้นทุกปี ที่เห็นน่าจะประมาณข้อสอบเด็กป.6หรือ ม.1 แบบยากๆเลย (คือให้เด็กที่เรียนป.6 ส่วนใหญ่มาทำ ผมว่าก็ไม่น่าจะทำได้กันหรอกครับ)คนทำข้อสอบพวกนี้ได้คงต้องทุ่มเทกันน่าดู หากจะให้ลูกสาวเข้ารอบบ้าง ผมว่าราคาที่จ่ายไปคงไม่คุ้มแน่ๆ

แต่อีกใจก็เกรงใจครูที่มาชวนมาก เพราะ เป็นครูใหญ่มาเองเลย บอกว่าอยากให้ไปมาก จะได้สร้างชื่อเสียงให้รร.

เลยคุยกับแม่เขาไว้ว่า ลองสอบคัดตัวดูก็ได้ ได้ไม่ได้ค่อยมาตัดสินใจกันอีกที แต่พอลูกออกมาจากห้องสอบ ก็บอกว่าทำไม่ค่อยได้ มั่วไปเยอะเลย ผมก็เลยโล่งใจ เพราะ กลัวเหมือนกันว่าถ้าจับพลัดจับผลูต้องไปสอบกันตั้งแต่ป.1นี่ สงสัยคงต้องมาเตรียมตัวกันเพื่อสอบกันตลอดทุกปีตั้งแต่ป.1-ป.3 ไหนจะต้องเสียเวลาไปกับการนั่งทำโจทย์แบบนี้ไปอีก 2-3 ปี แทนที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง

ถามลูกเองว่าอยากไปสอบไหม เขาก้ไม่แน่ใจ คิดว่า ที่ไปสอบเพียงแต่เขาอยากเอาชนะพี่ๆมากกว่า ตามประสาเด็กๆ

ผมก็เลยคิดได้แล้วว่า ไม่เอาดีกว่า ถึงผลสอบจะได้ คงต้องไปบอกครูว่าขอไม่ไป อ้างเหตุผลว่ายังเล็กอยู่ก็ได้
คิดว่าต่อไปผมคงต้องหนักแน่นกว่านี้ครับ

แสดงความคิดเห็น

Subscribe