8/24/2551 06:40:00 หลังเที่ยง

ไม่มีทางลัดสำหรับการพัฒนาแชมเปี้ยน (4)

เขียนโดย VARAVEE |

ความจริงผมไม่คิดว่า พ่อแม่ ทุกคน ต้องการห้ลูกเป็น แชมป์ ทางวิชาการครับ

แต่ต้องการให้ลูกแค่เป็นคนดี แต่เมื่อโดนกระแส เข้ามาชน ความคาดหวัง จะเริ่มมา เมื่อมีความคาดหวัง จากโรงเรียน จากครู จากสังคม ก็กลายเป็นความกดดัน โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ไม่ว่า จะเป็น สมจิต น้องเก๋ เธอและเขาเหล่านี้ ผ่านความแพ้ จน สำเร็จ

มีพ่อแม่หลายคนมักจะบอกผมว่าไม่ได้อยากให้ลูกเป็นถึงขนาดแชมป์ แต่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ แต่ต้องการให้ลูกมีความภูมิใจในการเรียน

บางทีมันต้องพูดกันถึงเรื่องนี้นะครับ

ผมไม่ค่อยห่วงนะครับ สำหรับ 100 คนแรก ของประเทศไทย ยิ่ง 10 คนแรก ผมเชื่อว่า คนที่พาลูกมาถึงได้มีทางออก เรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่ผมห่วง ก็คือ คนถัดมาจาก 100 คนแรก ถึงประมาณคนที่ 3000 ……..

ดูเหมือน คนที่ 100-3000 ดูเยอะนะครับ แต่ไม่เยอะหรอกเชื่อผม จาก ห้อง Gifted ของแต่ละโรงเรียน จากห้อง คณิตศาสตร์ ของแต่ละโรงเรียน จาก ตัวแทนของโรงเรียนต่างๆ ในชั้นประถม ที่มีจำนวน ผู้สอบ หมื่น กว่า ในสนามสอบ สสวท รอบแรก เพราะ ถ้า แต่ละโรงเรียน มีห้อง Gifted 50 คน มันก็แค่ 50 โรงเรียน เท่านั้นเอง 50 โรงเรียนนี่ นิดเดียวเองครับ

ผมมักจะห่วงเด็กกลุ่มนี้ เท่านั้น เพราะมันเป็นการเสีย ทรัพยากรบุคคลโดยไม่จำเป็นเลย

==================================

ถ้าใคร ดู Hikaru จะพบเด็กคนหนึ่ง ที่โรงเรียน ฮิคารุ ที่อยู่ ชมรม หมากรุก เป็นเด็กที่เก่ง โก๊ะ มากกว่า ฮิคารุ แต่ไม่เล่น โก๊ะ แล้ว เพราะ โดนกดดัน จากโก๊ะ แต่เล็ก คือเล่นเท่าไร ก็ไม่สามารถ ชนะ โทยะได้เลย ทำให้เลิกเล่นไปเอง

แต่แท้ที่จริงแล้ว เขามีศักยภาพ แต่ดันเร็วไป เรียนเร็วไป เท่านั้น

ก่อนจะเข้าเรื่อง ต่อไป Think And Loud

การสอนให้อยู่กับการแพ้ ถ้าคุณฟังสัมภาษณ์ สมจิต หรือ น้องเก๋ นักยกน้ำหนัก คุณจะรู้ได้เลยว่า พ่อแม่ ช่วยไม่ได้ในสถานการณ์นั้น ทั้งๆที่อยากช่วยใจแทบขาด

ตัวเขารู้สึกผิด4 ปีที่แล้ว ลงจากเครื่อง แทบไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่

ครับ นี่คืออาการเดียวกัน กับเด็กเก่งทางวิชาการที่มีเรื่อง ราวฆ่าตัวตายทั้งหลาย

แต่นี่มันเป็นกีฬา ครับ อาการ เหล่านี้ เขามีครบ ทั้งนักจิตวิทยา ทั้ง โค๊ช และอื่นๆ …..

มักมีคนบอกว่า ถ้าเราให้ความอบอุ่น แก่คนเก่ง และมีความสามารถเหล่านี้ เรา สามารถให้คำปรึกษาได้

ผมเชื่อว่า เด็ก ที่เก่งวิชาการ ที่มีเรื่องฆ่าตัวตาย ที่เราเห็นกันมาทุกปี นั้น

แต่ละคน ที่เกิดอาการนั้น เขามีครบครับ ไม่ว่าจะครอบครัว พ่อแม่ ที่สามารถเข้าหาได้ ตลอดไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา หรือไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เพียงแต่ เด็กที่ เลือกจะคิดสั้น เขาไม่เลือกที่จะทำเท่านั้น ไม่ใช่เขาไม่รู้ถึงวิธีที่จะทำ เขาเลือกคิดว่าเขาล้มเหลว แทน และเขาคิดว่า คงไม่มีใครเข้าใจเขาว่า สิ่งที่เขาสูญเสียมันคืออะไร

==========================

เพราะฉะนั้น พาลูกเล่นกีฬาครับ ช่วยได้

ก่อนจะเข้าถึงวิธีการฝึก ในเรื่องอื่นต่อไป

เวลาเราอ่าน เรื่องเด็กคนนั้นเก่ง คนนี้เก่ง วิธีทำให้เก่ง ทำยังไง เสร็จแล้วเราไม่ทำ ให้ลูก แต่เลือกที่จะทำแค่ในเรื่องบางเรื่อง พอสุดท้าย อาจไม่ได้อะไรเลย ก็ได้

ผมลองยกตัวอย่าง หนูดี หรือ อดัม คู ที่เขียนกันนะครับ ทั้ง 2 คน คือมุมมองของคนเรียนเก่ง แล้วมาบอกว่า จะเรียนเก่งอย่างไร ในมุมมองของคนที่ไม่มีลูก คือเขาเขียน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้เด็ก ที่เรียนไมเก่ง หรือเก่ง เขาทำอย่างไร เขาทำมาอย่างไรใน วิถีปฎิบัติของเขา ซึ่งมักจะคล้ายกันทั้งหมด คือเขียนให้ คนในวัยเรียนอ่านว่าเก่งน่ะมันไม่ยาก

แต่ ผมว่า คนที่จะต้องเขียนหนังสือเล่มพวกนี้ คิอ แม่ของ หนูดี หรือ พ่อ ของอดัมคู ครับ

ว่าเขาทำอย่างไรต่างหาก

เช่นเดียวกันกับนายการดเนอร์ พ่อของซูซาน

คือเขารู้ว่าเขาเก่งเพราะองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ซึ่งนะ คนเก่งๆ มักจะมาในแนวทางเดียวกันทั้งหมด

แต่เขาบอกไม่ได้ว่า ถูกฝึกมาเช่นไร จาก พ่อแม่ และ พ่อแม่ คนฝึกนั้น รับแรงกดดัน จาก นายวินัย และนาง ทำใจ มาขนาดไหน

เพราะมันต้องการแค่ นายวินัย และนางทำใจ จากพ่อและแม่ ถ้าคุณทำไม่ได้ เราก็ไม่ได้ เห็น หนูดี อดัมคู หรือ ซูซาน เราไม่ได้เห็น หนูดี คนที่ 1 2 3 ที่ทำเลียนแบบเขา มา เราไม่ได้เห็น คู ซูซาน คนที่ 1 2 3

แต่เราอาจได้ โซฟิอา ที่ได้เรียน Oxford อายุ 13 ที่ทำให้พ่อแม่ ครอบครัวเสียใจ เราอาจได้ เด็กเหรียญเงิน ที่เรียน วิศว จุฬา แล้วฆ่าตัวตาย เด็กเหรียญ ทอง เรียน วิทยาศาสตร์ แล้วฆ่าตัวตาย เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่มาพูดกัน ว่า ทำอย่างหนึ่งอย่าลืมอีกอย่างเสมอ ต้องทำคู่กันเสมอ

การลดน้ำหนักวิชาการลงมาเพื่อให้ได้กีฬาบ้าง เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน

เด็กที่สอบ โอลิมปิควิชาการ แม้กระทั่ง นักกีฬา โอลิมปิค เช่น บุตรี คุณว่า พ่อแม่ ของ บุตรี เหรียญเงิน โอลิมปิค ที่มีลูกเป็นทีมชาติทั้งสองคน ที่เรียน สตรี มหาพฤฒาราม มีวืนัยขนาดไหน

คุณ ชนะชัย ศรีชาพันธ์ มีวินัยขนาดไหน พ่อไทเกอร์วูด มีวินัยขนาดไหน คุณ วีระชัย พ่อแทมมี่ หรือ เลยไปยัน ต๋อง นักสนุกเกอร์ ที่มี พ่อชื่อว่า ฉ่อย มีวินัยขนาดไหน ก่อนที่สร้าง แชมป์ ขึ้นมา

เพราะฉะนั้น แบบที่ผมเคยบอกครับ

มักมีคนบอกว่า ทำอะไรก็ได้ ที่เด็กชอบแล้วทำได้ดี ผมมักจะเถียงกลับไปว่า เด็ก ไม่รู้หรอกว่าอะไรชอบไม่ชอบ

และที่ชอบน่ะ ชอบเพราะแปลกใหม่ ในสถานที่ ในอุปกรณ์ แต่เมื่อเอาจริงเอาจัง ทำไม่ได้ พ่อแม่ ก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สุดท้าย ลูกไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เพราะ พ่อแม่ ส่วนใหญ่ ใจไม่แข็งพอ

เน้นครับ ทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะ กีฬา อย่าลืมครับ งั้น ตามกันมาไม่ทันแน่แน่ จะว่ายน้ำ ตีแบด ปิงปอง วิ่ง เทควนโด ทำเลยครับช่วงนี้

อยากรู้จัง คน ตามอ่าน ใครอยู่ ที่ Lisle …Illinois ครับ มีคนอ่านทั่วเหมือนกันนะนี่

9 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เมื่อเช้า เข้าบล็อคพ่อธีร์ไม่ได้ค่ะ ตกใจหมด แต่เข้าว่าคงกดปุ่มผิดหรือเปล่าคะ เห็นชอบแต่งหน้้าเวบใหม่ให้ดูจ๊าบๆ

ขอบคุณที่ให้ความเห็นเรื่องอดัม คู และหนูดี เห็นด้วยค่ะ เพราะมุมมองของลูกที่เขียนสำหรับเด็กอ่าน แต่หากจะให้พ่อแม่อ่าน ต้องให้แม่มาเขียน จะได้รู้ว่า เป็นพ่อแม่ที่ปั้นลูกให้เป็นแบบนี้ ต้องปล่อยวางอย่างไรบ้าง ต้องเข้มงวดเรื่องใด หากไม่พอดี ก็จะไม่เป็นผลดี

จริงค่ะ อย่างดิฉันและสามีไม่เคยคิดจะให้ลูกเป็นแชมป์หรืออัจฉริยะ
อยากให้เขาเป็นประชาชนที่มีค่าของชาติและสังคมเท่านั้น
ที่ศึกษามามากมายก่ายกอง ก็เพราะอยากรู้อยากเห็น และปฎิบัติเท่าที่ทำได้ ไม่อยากเข้มงวด เพราะดิฉันก็ไม่ค่อยมีระเบียบ กลัวตัวเองเครียด แหะๆ
คนบางคน เห็นแชงกะเชียร์ เขาออกจะผิดหวังที่เขาเห็นเด็กซนๆธรรมดา ไม่มีอะไรแตกต่างจากลูกของเขา แต่ดิฉันออกจะดีใจที่ลูกเป็นเด็กปกติ ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นรูปน้องตีแบ็ต ตีเทนนิส ลืมเล่าว่า ตอนนี้ดิฉันและสามีกำลังติดกีฬาใหม่ Speedminton จะใช้เหมือนแบ็ตมินตันค่ะ แต่ไม้เหมือนไม้สคว๊อช ไว้ตีกลางแจ้ง ลมแรงได้ ลูกไม่เด้ง เพราะเหมือนแบ็ต แต่ไม่ปล้วไปตามกระแสลม ใช้พื้นที่ก็ไม่มาก เอามาตีหน้าบ้านได้ค่ะ น้องๆน่าจะชอบ ลองดูนะคะ พ่อธีร์อาจจะรู้ดีกว่าดิฉันอีก ไม่รู้เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรือเปล่า

VARAVEE กล่าวว่า...

แฮะ รู้จักครับ ก็เล่นอยู่ครับ กีฬาที่ใช้ แรคเกตนี่ เล่นหมดเลยครับ

ก่อนหลงประเด็นนะครับ

ว่าเรื่องให้ลูกเล่นกีฬานี่ ผมไม่ได้ต้องการให้ลูกได้ออก กำลังกาย นะครับ

แต่ผมต้องการ โค๊ช กีฬามาสอน กันเลย

ไม่เอาแค่ ออกกำลังกาย

ทำไมผมจึงว่าเช่นนั้น นะครับ

VARAVEE กล่าวว่า...

ถ้าใครตามอ่าน บทความของผมดีดีนะครับ

ผมมักจะพูดรื่อง ลดการปะทะ กับลูก เรื่องแบบฝึกหัด เลขที่คุณอยากให้เขาทำ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งจดหมายมาจาก บาร์นี่ ส่ง จดหมายมาจาก นาง ฟ้า หรืออะไรก็ตาม

อีกประเด็นที่คน มักข้ามไปก็คือ

ในตอนเล็กเล็ก ลูกสาวผม มี โค๊ช ว่ายน้ำอยู่ด้วย

โค๊ช ทำหน้าที่ แทนผมทุกอย่างเลย

คือ การบ้านไม่เสร็จ ไม่ให้ลง สระ

การบ้าน ก็มาจาก โค็ช ทั้งนั้นไม่ได้มาจากพ่อ

ผม มีหน้าที่ช่วยเหลือ เธอ ให้เธอ ทำแบบฝึกหัด จาก โค๊ช จอมโหด เท่านั้น

อย่าลืมนะครับ โค๊ชที่ถูกฝึกมา จะ เรียนมาหมด ถึง การทำ Positive Sandwich กับนักกีฬา

เช่น การ ชม ติ แล้ว จบ ด้วย ชม

โค๊ช ที่ดี จะทำให้ เด็กชอบกีฬา ชนิดนั้น โดยไม่ยาก

เพราะฉะนั้น ที่เห็น เล่น แบด เทนนิส นั่น ก็คือ เตรียม ตัวหา โค๊ช เพิ่มอีกคน นอกเหนือ จาก โค๊ช โก๊ะ ทำให้เขาพร้อมไว้และลดแรง ปะทะ กับผม

ผมต้องการทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยเหลือเขา มากกว่า

เป็นผู้สั่งเขา

คนส่วนใหญ่มักจะใช้วิธี ส่งไป โรงเรียน กวดวิชา
เพื่อให้ ครูที่โรงเรียนกวดวิชาสั่งแทน

ไม่ต่างอะไรจากผมหรอก เพียงแต่ผมไม่เลือกที่จะใช้ ครูประเภทวิชาการ
ก็เท่านั้น

ผมเลือกใช้ ครูกีฬาแทน

ผมว่า ค่าใช้จ่ายถูกกว่า และลูกได้ออกกำลังกายด้วย

เพียงแต่ต้องคุยกับโค๊ชไว้ให้ดี ว่าเราจะเอาแบบนี้

ช่วยคุมไว้ให้ด้วย เท่านั้น

เดือนหนึ่ง 1000 บาท ลูกได้ออกกำลังกาย สุขภาพดีออก

แล้วถ้าพวก ว่ายน้ำนะคระบ

เดือนละ 1000-1500 นี่ ลงสระมี คนคุมทุกวันว่ายวันละ 1 กิโลขั้นต่ำ
โรคภัยไม่ถามหากันเลย

VARAVEE กล่าวว่า...

เรื่องพวกนี้ใครอย่าคิดว่าแพงนะครับ

ถูกกว่าเรียนพิเศษเยอะ

อย่างเทนนิสนี่

หาคนสอน ชม.ละ 200 บาท ได้ไม่ยากเลย

เดือนหนึ่ง 4 ครั้ง ก็แค่ 800 บาท

ถูกกว่าเรียน คุมอง อีก

ผมใช้พวกนี้แหละครับ

ให้เป็นตัวช่วยของผม

ในตอนแรกแรก คุณอาจจะพบว่าลูกเหนื่อยแล้วไม่ได้ทำแบบฝึกหัด

แต่พอสักพัก แรงของเด็กเยอะกว่าที่เราคิดเยอะ

เขาจะกลัว โค๊ช ไม่ให้เล่นมากกว่ากลัวเราเสียอีก

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

พ่อธีร์ขรา

ช่วย online หน่อย
อุตสาห์มารอนะนี่

เดี๋ยวตีสองต้องไปแล้วเจ้าค่ะ

VARAVEE กล่าวว่า...

อีกประเด็นที่ผมต้องการโค๊ช คือ ผมต้องการ ที่พึ่งอีกคนของลูกสาว นอกเหนือไปจากผม

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นด้วยกับพ่อธีร์ที่เราควร "โค๊ช" อีกคนหนึ่งนอกเหนือจากเรา คนที่เป็นเหมือนที่ปรึกษา เป็นหลัก ให้กำลังใจ ให้มุมมองให้กับเด็ก เหมือน เด็กที่พ่อธีร์เคยเล่า ที่โกรธพ่อแม่ ที่ให้ไปเรียนเมืองนอก จึงหนีไปหาหลวงตา สุดท้ายก็กลับมาอยู่บ้าน เหมือนเดิม หลวงตาคือ "โค๊ช" อีกท่านหนึ่งเหมือนกัน

ตอนที่เรียนแลนด์มาร์กฟอรั่ม มีประเด็นหนึ่งที่เราพบ คือ เด็กในวัยแรกเกิด ถึงประมาณ 6 ขวบ ยังยึดพ่อแม่เป็นสรณะ พ่อแม่พูดอะไร มีความเห็นอย่างไร ก็มักจะทำตาม แม้ไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย แต่พอเลย 6 ขวบ ถึงประมาณ 15-16 ปี เขาจะไม่เชื่อพ่อแม่ แต่เชื่อคนอื่น เชื่อสังคมมากกว่า หากพ่อแม่ไม่ได้ใกล้ชิด หรือ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก มักจะมีปัญหาว่าลูกไม่เชื่อฟัง ดังนั้น การที่จะเตือนลูก ให้กำลังใจลูก หรือชี้แนะลูก จึงต้องใช้วิธีหาคนที่ลูกชื่นชม ลูกรัก ลูกผูกพัน หรือเป็นตัวอย่างที่ดี มาอยู่ใกล้ชิดลูก และเป็นกำลังใจ ให้คำแนะนำลูก แทนเราในบางกรณี แต่คนๆนั้นเราต้องรู้จัก สนิทสนม และมั่นใจว่า เขาดีและมีความสามารถพอ ที่จะทำหน้าที่ "โค๊ช" ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้แปลว่า เราจะสามารถปล่อยให้คนอื่นสอนลูกเรา โดยที่เราไม่มีส่วนร่วม หรือ ไม่ต้องรับผิดชอบนะคะ แต่เราต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยน

ตอนเด็กๆ ดิฉันก็มีโค๊ชหลายคน แต่คนละกรณี เช่น เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ น้อยใจการกระทำของพ่อแม่ ดิฉันจะมีพี่คนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าคนงานที่บ้าน เป็นที่ระบายค่ะ พี่เขาจะปลอบใจ ให้กำลังใจ และชี้ให้เห็นความรู้สึก และมุมมองของพ่อแม่ ส่วนเรื่องการเรียน เรื่องความสามารถ ความมั่นใจ ดิฉันมีครูท่านหนึ่ง ที่เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำอยู่เสมอ เพื่อให้เราทำในสิ่งที่เป็นเรา โดยไม่ต้องกังวลว่า คนจะคิดว่าเราล้มเหลวเรื่องการเรียน ทำให้ดิฉันมุ่งมั่นในเรื่องกิจกรรม และการช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอด

สรุปแล้ว พอพ่อธีร์พูดเน้นเรื่องนี้ ก็เห็นจริงค่ะ จำได้เลยแหละ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ลูกจะเล่าให้เราฟัง และไม่ใช่ทุกเรื่องที่ลูกจะฟังเรา มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะบางทีลูกก็ไม่อยากให้เราผิดหวัง หรือไม่อยากให้เรารู้สึกว่า เขาโง่ หรือ ผิดพลาด เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของใจมนุษย์ที่เรามองพ่อแม่เป็นคู่แข่ง คนสำคัญที่เราต้องเอาชนะ และเก่งกว่าพ่อแม่ การดูไม่ดีในสายตาพ่อแม่ บางทีเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากค่ะ

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

ขอยกมือเห็นด้วยครับกับประเด็นเรื่องโค้ช

ขอยกตัวอย่างที่ผมเจอมานะครับ น้องพลอยลูกสาวผมเคยเรียนกับครูว่ายน้ำ 2 คน

คนแรกเป็นครูผู้ชาย ค่อนข้างเข้มงวดมาก เวลาเด็กทำผิด มักจะชอบดุเด็กเสียงดัง ชนิดที่เรียกว่า เอ็ดตะโรเลยทีเดียว

คนที่สองเป็นครูผู้หญิง ใจดี ไม่ดุเด็กเลย ค่อนข้างตามใจเด็ก

เห็นข้อมูลแล้วหลายๆคนคงจะเดาได้นะครับว่า ลูกสาวผมน่าจะชอบครูคนไหน ตอนแรกผมก็คิดว่าน่าจะชอบครูผู้หญิงเหมือนกัน

แต่ปรากฎว่าผมเดาผิดครับ ลูกสาวผมเรียนกับครูผู้หญิงคนนั้นได้ไม่นานก็บอกว่าเบื่อ ไม่อยากเรียนว่ายน้ำแล้ว

แต่พอลองมาเรียนกับครูผู้ชายดู กลับกลายเป็นว่าเขากลับมาชอบว่ายน้ำขึ้นมาอีก ก็เลยเรียนว่ายน้ำต่อมาจนบัดนี้ และ ดูมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

พอลองมาดูในรายละเอียดจริงๆ ถึงได้พบว่า ครูผู้หญิงค่อนช้างจะเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีเทคนิคการกระตุ้นเด็ก เรียนจบแต่ละครั้งก็ไม่ค่อยเห็นว่ามีความก้าวหน้าอะไร

ในขณะที่ครูผู้ชายแม้ภายนอกจะดูดุ แต่จริงๆเขามีจิตวิทยาในการฝึกเด็กที่ดีมาก จะมีทั้งดุ แล้วก็ชม แล้วสลับมาดุ แล้วก็ชมเป็นช่วงๆ

ในแต่ละครั้ง จะมีการกระตุ้นให้เด็กได้แข่งขันกัน และ มีการตั้งเป้าหมายในแต่ละครั้ง คอยทดสอบความก้าวหน้าเด็กเป็นระยะๆ ทำให้เด็กต้องตื่นตัวอยู่เสมอ และ สนุกจนลืมเวลาไปเลย หลังๆลูกผมเขาไม่ตกใจกลัวเสียงดังของครูแล้ว แต่ก็จะตั้งใจว่ายน้ำเพื่อไม่ให้โดนดุ
และ พยายามปรับปรุงเทคนิคการว่ายให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ผมก็เลยได้คิดว่า บางทีเด็กเล็กๆเขาจะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการสอนของครู โค้ช หรือพ่อแม่ ไม่ว่าเรื่องไหน วิชาใดก็ตาม (อย่างไรก็ตาม เทคนิคในการล่อหลอกที่ดีก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกันนะครับ)

แสดงความคิดเห็น

Subscribe