8/08/2551 08:55:00 ก่อนเที่ยง

คุณจะเป็น พ่อแม่แบบไหนล่ะ………

เขียนโดย VARAVEE |

พอคุณเห็น ว่า โอโฮ โค๊ชทำหน้าที่ทุกอย่างเลย ลองยกกันมาอีกที

  1. ผู้สอน (Instructor) เป็นผู้ชี้นำในทำกิจกรรมต่างๆ

  2. ครู (Teacher) เป็นผู้แจ้งความรู้ใหม่ ความคิดใหม่

  3. ผู้ให้กำลังใจ (Motivator) เป็นผู้สร้างแรงจูงใจในทางบวก ให้นักกีฬามีคุณภาพสูง

  4. ผู้ควบคุมกฏ (Disciplinarian) เป็นผู้กำหนดความเหมาะสมในการให้รางวัลและการลงโทษ

  5. ผู้จัดการ (Manager) เป็นผู้นำและชี้ทาง

  6. ผู้บริหาร (Administrator) เป็นผู้จัดการด้านเอกสารและการจัดการในองค์กร

  7. ผู้แทนสาธารณะ (Publicity Agent) เป็นผู้ดูแลการติดต่อกับสื่อต่าง ๆ และสาธารณะชน
    นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) เป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ โดยเฉพาะในเวลาที่นักกีฬาต้องการ

  8. เพื่อน (Friend) เป็นผู้ที่สร้างความสัมพันธภาพที่ดีกับนักกีฬา

  9. นักวิทยาศาสตร์ (Scientist) เป็นผู้วิเคราะห์ ประเมินผล และสรุป

  10. นักเรียน (Student) เป็นผู้ที่ค้นคว้าหาความรู้โดยการฟัง คิด พูด อ่าน เขียน

หน้าที่ของความเป็นพ่อแม่ เหนือ กว่า โค๊ช ทุกอย่าง เลยครับ ทำมากกว่า และต้องทำในเกือบทุกทุกเรื่อง

เรื่องที่เห็น กันเช่น เรื่องการเป็นผู้ควบคุมกฎ (Disciplinarian) ว่าลูกห้ามทำอะไรทำแบบไหนดีแบบไหนไม่ดี วิธีการลงโทษ อันนี้ ก็มีทุกบ้าน

ผู้บริหาร (Administrator) เป็นผู้จัดการด้านเอกสารและการจัดการในองค์กร เอกสาร ใบเกิด เอกสารการฉีดวัคซีน เข้า รพ. เข้า รร. ก็ทำกัน

ผู้แทนสาธารณะ (Publicity Agent) เป็นผู้ดูแลการติดต่อกับสื่อต่าง ๆ และสาธารณะชน

นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) เป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ โดยเฉพาะในเวลาที่นักกีฬาต้องการ

2 ข้อนี้ เราทำเสมอ  Publicity Agent ก็ ติดต่อครู Social Worker ก็ทำทุกครอบครัว

4 –5 ข้อนี่ แต่ละครอบครัวทำได้โดยไม่ตกหล่น

ไม่ว่ายากดีมีจน มีความรู้หรือไม่ 4-5 ข้อนี้ทำได้ไม่ตกหล่นแน่นนอน

เหลือ อีก 6-7 ข้อเดี๋ยวผมลองมาแยกให้ดู กันชัดชัด

เพราะ พ่อแม่ ทำหน้าที่ ยิ่งกว่า โค๊ช เช่น

สมมติ ลูก คุณ ติดตัวแทนคณิตศาสตร์ ของโรงเรียน แน่นอน ลูกคุณได้รับการ Motivate จาก Motivator จากโรงเรียนมา คุณจะ Motivate ในเรื่องเดียวกันต่อ หรือ คุณจะทำการ Balance เพื่อลดการกดดัน หรือคุณจะ Motivate แบบแสดงให้เห็นความสำคัญ ที่นอกเหนือจากการที่เขาถูก Motivate มา

ยกตัวอย่างในกระทู้ ก็ เรื่องการอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง แม้ว่าเขาจะอ่านไม่ดี แต่เขาจะรู้ว่า ความรู้ที่ทำเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อเขา นั่นก็เป็นการ  Balance Motivate แบบหนึ่ง

การเป็นโค๊ช ความพยายามของนักกีฬา เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า ชัยชนะ

คราวนี้มาถึงเรื่องต่าง กันดีกว่า แต่ละครอบครัว จะต่างกันตรงไหน ล่ะ

ถ้าดูหน้าที่โค๊ช นะ

  • ผู้สอน (Instructor) เป็นผู้ชี้นำในทำกิจกรรมต่างๆ
  • ครู (Teacher) เป็นผู้แจ้งความรู้ใหม่ ความคิดใหม่
  • เพื่อน (Friend) เป็นผู้ที่สร้างความสัมพันธภาพที่ดีกับนักกีฬา
  • ผู้จัดการ (Manager) เป็นผู้นำและชี้ทาง
  • ต่างกันตรงนี้ เพราะ แต่ละ คนทำหน้าที่ ถ่วงน้ำหนัก ตรงนี้ไม่เท่ากัน

    ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ของแต่ละคน ที่ประสบมา อละขึ้นอยู่กับเวลา บางครอบครัว ต้องทำงานเยอะ พ่อ ต้องทำ OT แม่ต้องทำงานพิเศษ พ่อแม่ ต้องหารายได้เข้าบ้าน ก็จะขาดตรงนี้ไป พอปล่อยไป ก็สะสมแล้วกลายเป็น Manager แทน คือซื้อให้ลูก ไว้ จัดจ้าง ครูให้ลูกเพราะไม่มีเวลา ไม่ว่ายาก หรือ ดี มีหรือ จน ก็ตรงนี้เท่านั้นครับ คุณจะจัดการยังไง ก็แล้วแต่เทคนิค แต่ละครอบครัว ซึ่งต่างกัน อีกต่างกันเยอะจนคนหนึ่งไม่สามารถบอกเงื่อนไขของคนหนึ่งได้หมด ก็คือ การจัดการเวลา เพื่อให้ได้มา ทำหน้าที่ 3 อย่าง โดยไม่ตกหล่น และ Balance ได้อย่างพอดี

    พ่อแม่บางครอบครัวเน้นความเป็นเพื่อน Friend  คือ สร้างความเป็นคนดี พาไปนั่นไปนี่ หยุดก็ไปเที่ยว ทะเล ถ้าธรรมะหน่อยก็ไปวัด ถ้าไม่อะไร ก็เดินห้าง เปิดหูเปิดตาเขา จนลืมสอนสิ่งที่เป็นวิชาการ โดยบอกว่าเขาไม่พร้อม อันนี้ ก็ละเลยเกินไป เพราะ เมื่อ รู้ตัวก็ไม่ทัน หมด ถ้าคุณทำใจไม่ได้แต่ต้นว่าลูกอาจเป็น เด็กเรียนไม่เก่ง คุณก็จะตกในวังวน ของการเป็น Manager ที่ต้องจ้างทุกอย่างมาหมด เพราะมันไม่ทันการ เรียนไม่เก่ง ครูว่า ลูกจดงานไม่ได้ เยอะแยะไปหมดเลยที่คุณจะประสบ

    โดยกลุ่มนี้มักจะบอกว่าให้ลูกเป็นคนดี มาก่อน ละเลย อย่างอื่นเช่นวิชาการ มันเป็นนามธรรม มากมากเลย เพราะเราก็ไม่รู้อีก ว่า ให้ตอนเล็กจะได้ตอนโตมาไหม ต้องพอดี อีก กลุ่มนี้มักจะเอาลูกเรียน รร เตรียมความพร้อม แต่ไม่หาโรงเรียน ตอน ป.1 ไว้ พอ ป.1 ตายเลย ทำใจลำบาก เพราะสังคมจริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ได้มีนักเรียน 4-5 คน แต่มี นักเรียน ห้องละ 30-50 คน ตอน ป.1 ก็เหมือนทำร้ายลูกทางอ้อมเลย

    มันต้องพอดี ครับ

    พ่อแม่บางครอบครัว เน้น Instructor คือ ทำกิจกรรมเป็นระบบไปหมด อะไรก็ผ่านกิจกรรม ไปเที่ยวยังวางแผนทำกิจกรรม เลย แบบนี้ก็เยอะไปหน่อย ไปเที่ยว เอาสนุกเข้าว่า สาระมาที่หลังก็ได้ครับ อันนี้ นึกถึง ไกด์นำเที่ยวเลยครับ จัดตามเวลา ไปเที่ยวก็ยังมีกิจกรรม ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ไปหาเอาข้างหน้าก็ได้ เวลาไปเที่ยวทำเหมือนไปค่ายกิจกรรมเลย อันนี้ก็มีให้เห็น

    พ่อแม่บางคน เน้นการเป็น Teacher คือ สอนอย่างเดียว สอนโดยไม่เปิดโอกาศ เลย สอนได้ทุกเรื่อง สังคม ยัน เลข ยัน วิทย์ สอนมันทุกเรื่อง จัดตารางแน่นเอี๊ยด สอน กลยุทธ ให้ลูก ยันโตเลย ลูกเล็ก แต่สามารถสอนได้ ไกล เพราะลูกรับได้  กลุ่มนี้ก็ไม่เชื่อใจครูที่โรงเรียน แต่เราจะสอนเขาแบบนี้ได้ถึงเมื่อไรล่ะครับ เมื่อขาดคุณไป หรือหน้าที่การงานคุณมากขึ้น เขาก็ยังต้องการ Teacher อยู่ดี

    Manager พ่อแม่กลุ่มหนึ่ง เมื่อ ทำ การเป็น Instructor ได้ไม่ครบ เป็น Teacher ไม่ได้ ก็ใช้วิธีจ้าง โดยทำตนเอง เป็น Manager

    ซึ่งแน่นอน มันก็ต้องเสียอะไรไปบางอย่าง เช่นเสียความเป็นเพื่อนไป เพราะเวลาจะน้อยลงทันที และจะเห็น ว่า พ่อแม่กลุ่มนี้ จะจ้างหมดเลย ทำให้เด็กแทบไม่มีเวลาเลยเรียนพิเศษ กัน ตั้งแต่เล็ก เสาร์ อาทิตย์ วัน ธรรมดา เรียนถึง 5 โมงเย็น 7 วันไม่หยุด บางคนใช่จ้างเฉพาะวิชา ตามแต่ที่ครอบครัวเห็นชอบ 

    พ่อแม่บางครอบครัว Motivate เพิ่ม จาก Motivator ที่โรงเรียน จนกลายเป็น Pressure

    พ่อแม่บางครอบครัว เน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มากไป ใน 3 เรื่องคือ  Teacher Instructor และ Friend

    มันต้องลงตัวพอดี

    เพราะ คุณไม่สามารถเปลี่ยนตัวนักกีฬาได้ เพราะนั่นคือลูกของคุณ เช่นกันลูกไม่สามารถเปลี่ยนตัวพ่อแม่ได้ เหมือนเปลี่ยนโค๊ช

    ในความจริง คุณมีตัวช่วยเต็มไปหมด เพียงแต่ คุณ ไม่เชื่อใจในตัวช่วยนั้น เช่น ครูที่โรงเรียน ทำให้ คุณไปรับ บทบาท ของ ความเป็น Teacher และ Instructor มา ถ้าคุณใช้ ทรัพยากร รอบตัวอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่วิ่งไล่ ตามคนอื่น บริหารให้ดีดี คุณจะได้มาหมดเลย ตัวช่วยทั้งหมด แต่ถ้าคุณบรริหารได้ไม่ดี คุณก็จะเพิ่มตัวช่วยมาอีก ซึ่งมันทำให้เวลาหายไปอีก หลายๆคนใช้การเพิ่มตัวช่วย คือ เพิ่มครู เข้ามาอีก ในวัน ส อาทิตย์ และเย็น บางคนได้ ครูเพิ่ม มา ส อาทิตย์ ถึง 3-4 คน จาก ภาษาอังกิด ดนตรี เลข วิทย์ คณิต ศิลปะ โอ๊ยเต็มไปหมดเลย

    ให้สังเกต สิ่งที่ผมเขียนมา 1 ปี ผมจะเน้นว่า ผมจะสร้างวินัย และ วิธีการเรียนรู้ ให้ลูก เพราะผมคิดว่า ผมไม่สามารถสอนเขาได้ทุกวิชา อะไรที่เป็นภาระของครู ก็คือภาระของครู เช่นเราสอนให้เขาอ่านได้ แต่การอ่านให้ถูกต้อง การเขียน เยอะแยะไปหมดไปเรียนจากครูเอา เราสอนให้เขาคิดเลขอีกแบบหนึ่งไว้ เพื่อให้เขาเห็นทางเลือก ในการคิด อีกแบบ จากครูเอา

    แต่ลูกต้องได้คือ

    Mindmap SpeedReading จินตนาการซึ่งผ่านมาจากวิชาคณิตศาสตร์ เพราะผมถนัด ซึ่งมันอาจจะมาจากทางอื่น เช่นดนตรี หรืออะไรอีกหลายอย่าง แต่ผมไม่ถนัด มันเลยเป็นบทความสอนเลข

    (เรื่องพวกนี้ ถ้าหัดตอนโต ก็ต้องโตไปเลย ถ้าหัดตอนเล็ก ก็ต้อง ก่อน6 –7 ขวบ เกืนกว่านั้นก็หัดยาก เหตุที่ยากเพราะ ลูกกำลังเลียนแบบสังคมที่โรงเรียนอยู่ ถ้าคุณสอนหรือทำต่างจากโรงเรียน หรือ สังคม ที่ลูกไม่เห็น คุณจะโดนต่อต้าน ว่าไปตอน 12-15 ซึ่งก็ยาก

    นั่นทำให้มีคนเดียวในตอนเล็กที่สามารถสอนได้ คือ พ่อกับแม่ เพราะ ไม่มีที่ไหนสอนได้ครับ เพราะเด็กเล็กเกินไป มันต้องทำทุกวันจนเป็นนิสัย)

    และ สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ลูกต้องมี วินัย และน้ำใจนักกีฬา นั่นทำให้ลูกต้องเล่นกีฬาแต่เล็ก

    สิ่งที่ลูกต้องได้ คือ วิธีการเรียนรู้ ทำอย่างไรถึงจะเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เราสอนเขาไม่ได้ครับ

    ว่า หนูต้องตั้งใจเรียนเวลาเรียน ต้องมีสมาธิ ต้องจดงานให้เป็นระเบียบ

    ถ้าเราพูดอย่างเดียว ไม่มีผล มันต้องหัด ไป และครูที่โรงเรียนก็ไม่ได้หัดเขา เพราะเขาทำหน้าที่สอน หน้าที่ Teacher

    เราต้องหัดสมาธิ หัดวิธีจดงาน ให้วิธีย่อยความรู้ จากครูที่โรงเรียน หัดความรอบคอบ ให้เขา หัดวินัย หัดน้ำใจนักกีฬาให้เขา และเมื่อเขา โดน Motivate มา เราก็จะจัดการ Balance Motivate เสีย

    หลายคนมักจะใช้กรณี ที่โค๊ชใช้ เช่น Positive Sandwich หรือ ชมติชม กับการแข่ง คณิตศาสตร์ เพื่อสร้างแรงจูงใจ แต่อย่าลืมนะครับ กีฬา มันไปทุกส่วนทั้งร่างกาย ซึ่งร่างกายมันได้ปลดปล่อย ไม่ว่าจะเป็นการหวดลูกเทนนิส

    แต่วิชาการ เวลาใช้ตรงนี้ต้องระวัง มากมาก

    และบางครั้ง ครูที่ใช้ Positive SandWich อยู่ ชม ติ ชม  พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจอีก ก็ไปทะเลาะกับครูอีก ว่า ครูทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ก็เห็นเยอะ ครูเลย กลายเป็นพูดดีไปหมด เพราะ ลูกจะเสียใจ พักหนึ่งอีก กลายเป็นพาลเกลียดครูเลย ลูกเกลียดครูคนเดียวไม่ว่า มาฟ้องพ่อแม่ พ่อแม่ ไม่เข้าใจ ด่าครูซ้ำไปอีก ก็เห็นได้เยอะ สรุปเป็นครูก็ลำบาก ฉันยังไม่เคยด่าลูกติลูก คุณเป็นใครมา ติลูกฉัน ทำนองนี้

    เพราะฉะนั้นนั่นคือสิ่งที่ผมหัด นะครับ พอหัดได้ปั๊ป มันมาเอง มันมาในเกือบทุกเรื่อง

    เราสอนวิธีการเรียนรู้ให้เขาครับ ส่วนอย่างอื่น ในทุกทุกวิชา มันมาเอง

     

    3 ความคิดเห็น:

    พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

    ขอชื่นชมพ่อธีร์เลยครับ
    เพราะ บทความนี้ยาวมากครับ
    แต่สนุก เพลิดเพลินและชวนให้คิดตลอด
    มีประโยชน์มากๆๆครับ

    เห็นด้วยครับว่าถ้าลองวิเคราะห์กันจริงๆ
    พ่อแม่เราทำหน้าที่ไม่รู้กี่สิบอย่างให้ลูกเพื่อให้ลูกประสบความสำเร็จในการเรียน

    การที่พ่อธีร์เปรียบพ่อแม่เราเป็นโค้ชทำให้เห็นภาพพจน์ได้ง่ายขึ้น ถ้าใครเคยดูฟุตบอลอังกฤษ น่าจะรู้จัก Sir Alex Ferguson ของทีมManUtdดีนะครับ
    นั่นล่ะครับตัวอย่างที่ดีเลย เพราะแกไม่ใช่แค่โค้ช หรือ trainer หรือผู้จัดการทีมเท่านั้น

    แกยังเป็นเหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนญาติผู้ใหญ่ของนักเตะกลายๆอีกต่างหาก เพราะ นอกจากเรื่องกีฬาแล้วแกยังคอยดูแลนักเตะ วางแผนอนาคต สั่งสอนอบรม นักเตะวัยรุ่นทั้งหลายมาตลอด ไล่มาตั้งแต่Ryan Gigs,David Beckham จนมาถึง Christiano Ronaldo ที่กำลังมีปัญหากันอยู่ในตอนนี้ แกเลยดูมีบารมีมากกว่าผู้จัดการทีมอื่นๆเยอะ นักเตะต่างก็เคารพ ยำเกรง เหมือนแกเป็นพ่อจริงๆ

    แต่ถ้าถามผม ในบรรดาทุกบทบาทผมชอบ instructor มากที่สุด คิดว่า ความหมายมันกว้างกว่า การกำหนดกิจกรรมอย่างเป็นระบบอย่างที่พ่อธีร์ว่านะครับ

    มันน่าจะเป็นลักษณะของผู้ชี้นำทาง และ facilitate learning มากกว่า

    แต่ก็เห็นด้วยครับว่าเราคงต้องมีบทบาทอื่นๆด้วย เพื่อช่วยในเรื่องการเรียนรู้ของลูกเรา

    "ที่ใดมีการสอน บางทีอาจไม่เกิดการเรียนรู้
    และ การเรียนรู้ ก็อาจเกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องมีการสอนก็ได้"

    Education is a broad concept, referring to all the experiences in which students can learn something.

    Instruction refers to the intentional facilitating of learning toward identified goals, delivered either by an instructor or other forms.

    Teaching refers to the actions of a real live instructor designed to impart learning to the student.

    Training refers to learning with a view toward preparing learners with specific knowledge, skills, or abilities that can be applied immediately upon completion.

    VARAVEE กล่าวว่า...

    บทความตอนนี้ ก็ เอกสาร การอบรม โค๊ช ของกรม พลศึกษา

    พอดี มีโอกาสได้อ่าน เลยเอามาให้ดูน่ะครับ

    รับ บรรยากาศ โอลิมปิค
    ว่า การเป็นนักกีฬา การเป็นโค๊ช นั้นยาก จังเลย

    หา ครูที่ดีคนหนึ่ง ว่าหายาก โค๊ชที่ดีคนหนึ่ง ดูเหมือนยากนะครับ

    แต่หาได้ง่ายในสนามกีฬา ไม่ว่า จะเป็นในสนามเทนนิส แบด ว่ายน้ำ หรืออะไรก็ตาม ที่มีแข่ง หรือที่เป็นกีฬา

    แฮะแฮะ ตัวผมก็ไม่รู้ว่าตัวผมเป็นอะไรเลยครับ

    เพราะทำมันหมดทุกอย่างเลย

    ทั้ง คนรับใช้ลูก คนขับรถ คนทำกับข้าว คนซักผ้า คนหาเงิน

    บางบทบาท กลายเป็นขัดกว่า เพราะลูกมักบอกว่า

    พ่อ ทอดไข่ให้ที 55555

    หรือไม่ก็ พ่อ ทำไมไม่ไปล้างจาน กินเสร็จแล้วให้ล้างจานเลยนะ แม่บอกไว้ 555

    กรำไหมผม

    ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

    ตามมาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ ได้อะไรดีๆจากพ่อธีร์อีกแล้ว อ่านไปคิดตามไปตลอด บันบันโชคดีที่เก่งมาเจอพ่อธีร์ทำให้เก่งได้คิดอะไรหลายๆเรื่อง และพยายามเตรียมอะไรไว้ให้บันบัน เรียกว่าเก่งเรียนเพื่อลูก โดยเฉพาะเรื่องเลขที่เรียนจากพ่อธีร์เยอะมาก

    แสดงความคิดเห็น

    Subscribe