8/28/2551 11:26:00 ก่อนเที่ยง

สิ่งที่ผมฝัน.....

เขียนโดย VARAVEE |

จริงๆแล้วการลุกขึ้นมาเขียนเรื่องนี้ ตลอดระยะ เวลา 1 ปี พอดี โดยสาเหตุที่เพื่อนที่เป็นอาจารย์โรงเรียนกวดวิชา ทะเลาะกับแฟน เรื่อง ครูนั่งมองนี่แหละ เหตุเพราะ แฟนก็กลัวลูกไม่เก่ง ตัวเพื่อนผม ก็ มัวแต่สอนลูกคนอื่นอยู่ เดี๋ยวลูกตัวเองที่หลังก็ได้ เพราะคิดว่ายังไงก็ทัน

โดยเรื่องแรกที่โพสลงในกระทู้หลังจากไม่เคยเขียนอะไรมา 5 ปี ก็คือ ครูนั่งมองกับจินตนาการที่หายไป เขียนเพื่อ ให้แฟนเพื่อนผมได้อ่าน พอเขาอ่านเสร็จเราก็ลบไป เพราะคนเรามักจะชอบให้คนอื่นเตือน คนไกลไกลตัวเตือน

แล้วก็เลยมาถึง กระทู้ก่อนอนุบาล ซึ่งตอนแรกแรกก็ไม่คิดจะเขียนยาว แต่คิดว่า ในฐานะคนชอบวิชานี้ น่าจะเขียนอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้บ้าง

ถ้าจะถามเรื่องแรงบันดาลใจก็คงจะมาจากหนังสือ ของ ฮิเดโอะ คาเงะยามะ ของโรงเรียน ยามงูจิ ที่ญี่ปุ่น

แน่นอน ผมสอนลูกได้ ตามหนังสือก่อนอนุบาลก็สายเสียแล้ว และเรื่องนี้มันก็คงเป็นความลับ และอาจมีคนรู้อยู่กัน 2 -3 คน เช่นเดียวกับ คุณศรันยู ซึ่ง เราเจอกัน ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว เพราะเรื่องงาน แต่ดันคุยเรื่องลูกได้ถูกคอมากกว่าเรื่องงาน จนเราไม่คุยเรื่องงานเวลาเจอกันเลย

ซึ่งจะตรงกันก็คือ ไม่อยากเล่าเรื่องลูกเก่งให้ใครฟัง เพราะเหตุผลเยอะแยะ .......

และผมเชื่อว่า ทุกคนมองว่า นี่แหละ คือ สิ่งที่ฉันฝันไว้ แต่ไม่กล้าเพราะ อย่างเดียวคือ ไม่เชื่อมั่น เมื่อไม่เชื่อมั่น ก็เลยมีกลุ่มทดลอง ซึ่งกลุ่มทดลองก็ไม่มีอะไร คือ Motivated .ให้เชื่อมั่น เท่านั้น

แต่แรงบันดาลใจ ของ ฮิเดโอะ คาเงะยามะ  ที่เป็น ครู คณิตศาสตร์ ที่ญี่ปุ่นนี่สิ เราทุกคนต่างรู้กันดีว่า การเรียนกวดวิชาที่ญี่ปุ่น เกาหลี ก็ไม่ต่างอะไรจากไทย และหนักกว่าด้วยซ้ำ

การฝ่ากระแส ของ ฮิเดโอะ น่าจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ได้เริ่ม และได้จุดประกายบางอย่างให้แก่สังคมญี่ปุ่น แม้จะเป็นส่วนที่น้อยนิด ก็ตามที

และที่แปลกไปกว่านั้น ฮิเดโอะ ไม่ใช่ จบ คณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ แต่ เขาจบ

นิติศาสตร์ มันยิ่งท้าทายผมเข้าไปอีก

Community ของ ฮิเดโอะ คาเงะยามะ บน Internet นั้น เปรียบเทียบ ก็คงเหมือนที่ผมกำลังทำตอนนี้

http://kageyamahideo.com/

สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องเลข 100 ช่องเพิ่มเติม จากที่ผมเขียน หลังจากนี้ ก็ ที่นี่นะครับ มีอันเดียวที่เป็น ภาษาอังกฤษ นอกนั้นเป็นญี่ปุ่น แต่มันก็ไม่มีอะไรมากกว่าที่ผมเขียนแล้วเพราะหมดแล้วเหมือนกัน ผมทำแค่นั้นเหมือนกัน

http://kageyamahideo.com/method/KageyamaMethod.pdf

เพราะผลสรุปสุดท้าย มันก็คือ ความช่วยเหลือกัน เพื่อให้ผ่านอุปสรรค และให้ความเชื่อมั่นกับเด็ก และวินัย ก็เท่านั้น ทำยังไงให้ เด็ก รู้สึกว่า Yes, You cannnnnnnnn......Win. หรือ ทำยังไง ให้พ่อแม่ เชื่อว่า Yes, You cannnnnnnnn......do it. ก็เท่านั้น เพราะนั่นคือบทสรุปของทั้งหมดทั้งปวง

********************

สิ่งที่ผมอยากทำ ก็คือ การที่ทำอย่างไรให้ลูกเห็น คุณค่าของวิชาการที่ลูกรู้ เพื่อหล่อหลอมให้เขาเป็น คน ชึ้นมา

ผมเริ่มทำ ตั้งแต่ให้แฟนไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง และแน่นอน

ถ้าใครไปงานสัปดาห์หนังสือเด็กที่พึ่ง ผ่านมา เดือน กรกฎา

ผมดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ มีพื้นที่ ส่วนกันไว้ส่วนหนึ่ง 2 Boot ให้เด็กๆ ไป อ่านนิทาน และ อัดเสียงให้คนตาบอดฟัง ถ้าใครไป ก็อยู่แถวแถว ตรงเขาเล่านิทาน แสดงกิจกรรม ของเด็กน่ะแหละครับ

คนแน่นเลย ผมยิ้มและเกิดความปิติอย่างบอกไม่ถูก

จนท คุม เครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ดูใจดี บอกว่าไม่เป็นไร อ่านไปเถอะครับ แค่ได้ทำให้เขารู้ว่า เขายังมีคนที่ต้องช่วยเหลือ ก็ดีใจแล้ว นิทานที่เขาเตรียมไว้ก็ดูสั้นๆ

ซึ่งผมคิดว่า คนที่นำไป ก็คงได้อ่านบทความที่ผมสื่อสารกับคุณ รักเรียน เรื่องน้องมล ทำให้ผมเกิดความชื่นใจเป็นอย่างมาก ที่บทความเพียงนิดเดียวสามารถก่อให้เกิดผลในทางปฎิบัติได้ แม้ไม่มาก ก็ตาม

สิ่งที่ผมคิดหลังจากได้ E-mail ฉบับนี้มาอีกหลังจากนั้น

@@@@@@@@สวัสดีค่ะ
อ่านบล๊อกล่าสุดของพ่อธีร์แล้วนึกถึงเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจค่ะ ได้รับรู้จากอาจรย์คณะวิศวะ จุฬาพูดถึงเรื่องกวดวิชาว่าเดี๋ยวนี้แม้แต่วิชาเรียนในคณะวิศวะ ยังมีเปิดเรียนติวกันเป็นเรื่องเป็นราวที่สยาม มันเกี่ยวข้องกับการที่เราใส่ให้เด็กมากเกินไป ย่อยให้เด็กจนละเอียด จนเด็กรับจากอาจารย์ในห้องแล้วไปเชื่อมโยงเองเพื่อมาทำข้อสอบไม่ได้ไหมคะ
แล้วมาจบมาทำงานจะเป็นยังไง@@@@@@@@@@@

ผมคงแก้ไม่ได้ ถ้าไม่แก้ ที่ลูกผม เพราะแวดวงผมล้อมตัวผมนี่ โรงเรียนกวดวิชาหมดเลยเหมือนกัน ลุกผมนี่วิ่งเล่นในโรงเรียนกวดวิชา วิ่งไปแอบดูพี่พี่เรียน ภาษาไทยบ้าง สังคมบ้าง เลขบ้าง ฟิสิกส์  บ้าง

ไปกันอาทิตย์ละ 2 วันนั่นจึงไม่แปลก ผมเลยมองไม่แปลกจะแปลกเสียอีกถ้าเธอเรียนไม่เก่ง เพราะสิ่งแวดล้อมของเธอเป็นอย่างนั้น

สิ่งที่ผมอยากเห็น คืออดีต ของผมทำขึ้นมาให้กับลูก

นั่นคือ เวลาเราเก่ง แล้ว เราจะต้องสอนเพื่อน ดึงเพื่อนให้ได้ ทำไม่ได้ เคยไปสอบแทนเพื่อน ก็เคย ผมทำมาหมดแล้วครับ สิ่งที่เด็กๆ ที่เก่งสมัยก่อนทำ ขอไม่เล่า ว่าเด็กเก่งๆ แต่ ออกเก เพราะมีเพื่อนเยอะทำอะไรบ้าง

เหล่านี้คือชีวิต วัยเรียน วัยรุ่น  ซึ่งแน่นอน บางอย่างมันก็ผิด บางอย่างมันก็ถูก

เราไม่เอาสิ่งผิดสอนลูกแน่นอน แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมคิดได้ตอนนี้ ก็คือ

จะทำอย่างไรให้ ลูกผมได้สอนสิ่งที่เขารู้ ให้เด็กคนอื่น บ้าง เหมือนที่พ่อ ผมทำมากับผม คือจับ ผมเป็นครู ตั้งแต่ ป.4 ซึ่งมันก็แค่เรื่องบวกลบเลขธรรมดา

นั่นคือ การจับกลุ่มติวกันเองระหว่างเพื่อนด้วยกัน โดยครูไม่ต้องยุ่งมากนัก มีพ่อแม่เป็นกำลังใจให้ห่างๆ

แต่สังคมปัจจุบัน มันเหมือนวิ่งเร็ว วิ่งไปข้างหน้า เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น เด็กมาติวกันที่ บ้านกันแล้วหรือเปล่า ถ้าเราปล่อย มันผ่านไป

พ่อแม่ ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก โดยการจ้างครูที่ดีที่สุด มาสอนลูก ยัน ม.6

พี่ สอนน้อง ไม่ได้ เพื่อนสอนเพื่อนไม่ได้ จนถึง พ่อแม่สอนลูก ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งดีที่สุดไปแล้ว แล้วเราจะอยู่อย่างไร เพราะพอมี ครอบครัว สามีไม่ฟัง ภรรยา ภรรยาไม่ฟังสามี ต่ออีก......

มันเหมือนล้มเป็น โดมิโน

===============================

เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ฝัน ในเรื่องการเรียนของลูกผม นะครับ

ผมฝันไว้ว่า ถ้าผมมีลูกที่เก่ง อาจไม่ได้เก่งที่สุดของประเทศ อาจไม่ได้เหรียญ แต่วันหนึ่งผมคงได้ให้ลูกผม ซึ่งอยู่ ชั้น ป.4 มาสอน เด็กที่อ่อนกว่า  ทำแบบฝึกหัด สอนเทคนิคการเรียนเลขในทุกอาทิตย์ ในฐานะสอนน้อง สอนลูกคุณ NK สอนลูก MMTH เพราะ คุณ NK ก็จะไม่คาดหวังว่าลูกจะเก่ง เป็นเลิศขึ้นมา ที่ต้องเอา ดร.มาสอน

ผมฝันไว้ว่า วันหนึ่ง ลูกสาวผม กับลูกสาว คุณ พีกาซัส ลูกสาวคุณ หมอ ลูกสาวคุณรักเรียน หรือเพื่อนๆของเขา ในกลุ่ม มานั่งแลกเปลี่ยน วิธีการเรียนรู้ในกลุ่มของพวกเขา เหมือน ที่เด็ก โอลิมปิคทำ แต่ไม่ใช่เด็กโอลิมปิค แต่เป็น เด็ก ธรรมดา ที่เก่งพอประมาณ นี่แหละ

โดยครูไม่ยุ่งเกี่ยว และพ่อแม่ไม่คาดหวังว่า ลูกจะได้อะไรมากมาย กับความรู้ที่วิ่งบนกระแส

แต่ผมคิดว่า ถ้าทำแบบนี้แล้วมันจะได้มาเอง ทั้งหมดเลย เขาจะเป็นอะไรเขาจะสามารถเป็นได้ทันที......เมื่อเรียนจบ

สถานที่ อาจเป็น เสถียรธรรมสถาน สวนรถไฟ สวนภูเขา ในซุ้มมหาวิทยาลัย ที่มีพี่พี่ใจดี สอนน้อง โดยไม่กังวลเรื่องเงิน เลย

ผมฝันไว้ว่า ลูกสาวผมจะได้รู้จักคนในทุกอาชีพ และสามารถนึกออก ว่าอยากเป็นอะไร เพราะ จะพบว่า หลังจากที่เราเรียนจบมาแล้ว อาชีพที่เราเป็น และเราอยากเป็น มีอีกมากมายที่เราไม่รู้ (ผมเพิ่งรู้จักว่า มีอาชีพเล่นโก๊ะ เมื่อปีที่แล้วนี่เอง)

ผมฝันไว้ว่า ลูกสาวผม ได้ออกกำลังกายทุกวัน แม้ไม่มีที่ออกกำลังกายแต่เธอก็ยัง วิ่ง จ๊อกกิ้งในทุกทุกวัน มีบุคคลิก และคุณสมบัติของนักกีฬาที่เพียบพร้อม

ครับ

มันเป็นสังคมในฝันของผมที่ผมอยากเห็นกับลูกผม ในช่วงเวลาอายุที่ผมเหลืออยู่ ถ้าอายุ ผมเหลืออยู่ 20 ปี กับลูก

ผมหวังแค่นั้นแหละครับ

1 ปีที่ผ่านมา ผมทำได้นะ แม้ไม่สำเร็จ แต่ผมสามารถลดอาการความหวังของพ่อแม่ได้หลายคนอยู่ และ ทำให้เขาได้อยู่กับ โลกเป็นจริงโดยไม่วิ่งไล่กระแส

แต่ 1 ปีถัดมาจากนี้สิ

เอายังไงกันดี .............

และผมคิดว่า บางคนก็ฝัน แบบผมอยู่เหมือนกัน

และผมว่า คนที่อ่าน บทความ ของผม เริ่มมี ทัศนคติที่เหมือนกันละนะ

เราเปลี่ยนใครไม่ได้หรอกครับ เพราะถูกของคนหนึ่ง ก็แพง ของคนหนึ่ง ปิดของคนหนึ่ง ก็เปิดของคนหนึ่ง การเปลี่ยนในบางที มันต้องใช้ หลาย Generation เรามักบอกว่าเด็กเดี๋ยวนี้ทำไมไม่ค่อยคิด เราเปลี่ยนสังคมไม่ได้หรอก

ถ้าไม่เปลี่ยนที่ตัวเรา

ครับ Think and Lound ครับเผื่อมีคนได้ยิน

 

10 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากให้ห้องเรียนของเด็กๆ เกิดขึ้นค่ะ

เชื่อว่ามันจะไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้

ขอร่วมฝันไปถึง self-esteem ที่เราสอนลูกไม่ได้

แต่เชื่อมั่นว่าเด็กๆสร้างเองได้ค่ะ

ถ้าเราเปิดทางให้พวกเขาค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

มาขอเป็นแนวร่วมคะ อยากเห็นเขาพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ว่าวิธีนั้นจะเป็นวิธีที่ช้าหน่อย ไม่เป็นไรคะ แล้วลองคิดกลับไปว่าใครจะรอเวลาที่ลูกหาคำตอบได้นานๆโดยไม่บ่นได้ดีกว่าพ่อแม่ ตอนนี้พยายามสอนเขาให้รู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ต้องฝึกและพยายาม เขาอยากทำอะไรก็ต้องทำเองทุกอย่างคะ หัดใช้กรรไกรตัดรูปเอง อยากล้างจานก็ให้ล้างจานกระเบื้องก็ให้ล้างคะ ถ้าแตกก็จะได้รู้คะว่าต้องระวังเพราะมันแตกได้ จนตอนนี้ 7 ขวบแล้ว ล้างจานได้ จัดการตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ว่าครูจะสั่งอะไร ให้เอาอะไรไป รับผิดชอบตัวเองได้เป็นอย่างดีคะ สอนให้รู้จักว่าไปหาหมอฟันอุดฟันก็เจ็บแต่ถ้าไม่อยากเจ็บต้องแปรงฟันดีดี ไม่ใช่ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ได้สอนด้านวิชาเขาเท่าไรคะ เพระกลัวเขาเก่งแล้วเราอดที่จะคาดหวังเขาไม่ได้ (อันนี้พูดเล่นคะ จริงๆก็คือบางครั้งเอาแบบฝึกหัดไปให้ทำก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แม่ต้องกลับมาทำความเข้าใจก่อนเลยรู้สึกว่าต้องกลับมาตั้งหลักใหม่เรื่องความรู้ที่จะสอนเสริมนะคะ)ตอนนี้ก็เลยฝึกได้แค่ให้เขามีความพยายาม อยากให้เรื่องนี้อยู่ในสายเลือดเขาก่อนคะ แล้วค่อยว่ากันต่อไป แวะมาทักทายคะ เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปนะคะ แล้วจะและเข้ามาใหม่

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

ผมเชื่อว่า คนที่มีความเห็นคล้ายๆกัน

เชื่อมั่นในแนวคิดบางอย่างที่เหมือนๆกัน

ย่อมมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน

ให้มาพบกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง


สิ่งที่คุณพ่อธีร์ได้ทำมาตลอด

ย่อมผลิดอกออกผลแน่นอน

เพียงแต่จะเร็วช้าเท่านั้น

อย่างน้อยก็ผมและคนที่ตามอ่านในblogนี้


แนวคิดเรื่องห้องเรียนเด็กๆ น่าสนใจมาก

บางคนอาจมองว่ามันเป็นไปได้ยาก ดูเพ้อฝัน

แต่ผมว่าเป็นความฝันที่ผมอยากให้เกิดขึ้นจริงๆครับ

ใครจะรู้...อาจจะไม่นานเกินรอก็ได้ครับ

(แนวคิดที่คล้ายๆกันนี้ จะว่าไปก็มีคนทำเป็นรูปธรรมแล้วนะครับ ผมเคยฟังคุณพารณ ผู้ก่อตั้งรร.ดรุณสิกขาลัย พูดถึงแนวคิดเรื่อง "constructionism" ที่ให้กลุ่มเด็กๆที่อายุต่างๆกัน เป็นผู้กำหนดสิ่งที่ตนสนใจอยากเรียน ในลักษณะ project approach ค้นคว้าข้อมูล และ นำมาแลกเปลี่ยนกัน และ นำเสนออย่างมืออาชีพ น่าสนใจมากๆครับ เพียงแต่ อาจจะติดที่รร.มีเฉพาะในกทม. ค่าเทอมที่ค่อนข้างสูง และ ความเป็นรร.ทางเลือก )

VARAVEE กล่าวว่า...

ลองอ่านนะครับ เผื่อ ว่าจะช่วยกันได้ สักหนึ่งแรง

การเตรียมตัวสำหรับ เด็กใน สหัสวรรษ ที่ 21

http://www.ipst.ac.th/magazine/mag108/108_3-7.pdf

VARAVEE กล่าวว่า...

สิ่งที่ผมอยากทำ คือการให้เด็กต่าง โรงเรียน น่ะครับมาเจอกันมา แลกเปลี่ยนเทคนิคกัน

ผมว่าน่าจะเกิดประโยชน์

แนวคิดนี้ ผมจำไม่ได้ ว่า มาจาก Web ไหนเดี๋ยวค้นดูก่อน

เป็น นร เหรียญทอง โอลิมปิค ของอเมริกา หรือ แคนาดาไม่แน่ใจ

เอาเด็ก Grade 6-9 เรียน ปานกลาง -แต่ละโรงเรียนมาให้โจทย์ แล้วจัดกลุ่มแบบคละโรงเรียน แล้วสลับเด็กในกลุ่มไปมา ให้อยู่ เหมือนทำค่ายคณิตศาสตร์ แต่เขาทำเฉพาะ Weekend โดยใช้เวลา อาทิตย์ละประมาณ 2 ชม.เป็นระยะเวลา 2-3 ปี

เข้าใจว่า

การจราจรเขาคงไม่เหมือนเมืองไทย และเมืองที่เขาทำบ้านคงอยู่ใกล้ๆกัน เขาไม่ได้บอกรายละเอียด และเขาไม่ได้คัดคนเข้ามาด้วย คือเอาคนที่สนใจ

มารับโจทย์ ประเภท Problem Parser ประเภท 1 คำถาม หลายคำตอบไป (โจทย์ Basic ของ ประเภทนี้ ในตอนเล็กๆ ก็ อะไรบวกกัน ได้ 15 บ้าง หรือ หยิบเหรียญ ให้พ่อมา 59 บาท ขอเหรียญ 5 ด้วยนะ )

แล้วให้เด็กเหล่านั้น กลับมา Brainstrom ของวิธีแต่ละคน ในเด็กแต่ละกลุ่ม กลุ่ม ละ 3-5 คน

โดย Leader ไม่ชี้แนะอะไรเลย

แต่ Leader เป็นผู้นั่งบันทึกไว้เท่านั้น

แล้วรายละเอียดเดี๋ยวมาเล่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องน่าสนใจมากมาก

ประมาณนี้แหละครับ

วิธีสร้างเด็กคณิตศาสตร์ของเขา

ทำไมมันช่างต่างจากของเรามากมาย ไม่รู้นะครับ

บ้านเราหรือทางเอเซียเราเน้น ผลเชิงปริมาณ ไม่ว่าจะจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งเวียดนาม

แต่คุณภาพเราได้นะครับผมรับรองได้ เด็กโอลิมปิค ของไทยเราหรือของ ทางเอเซียเรา เก่งจริงทุกคน
ผมยืนยันได้เลยเก่งกว่า แถบ โน้นเยอะ มากมาก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิด หรือข้อสอบ ผมรับรองได้ว่า เก่งจริงๆครับ

หรือแม้กระทั่ง เด็กลำดับที่

500-1000 ในเวลาแข่ง ก็ตาม ก็ยังอาจเก่งกว่า เก่งในการทำข้อสอบ ตอนเรียน เวลาเรียนเมืองนอก ในระดับ ปริญญา จนหลายคน งงกันไปหมดเลย ว่าทำไมเพื่อนๆ อ่อนเลข กันหมด ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร


แต่ เด็ก อันดับจาก 500-3000-5000 นี่ ปีหนึ่ง เด็กเกิดเป็น แสนคน ในจำนวน เด็ก 2500-4500 คน ถัดมาลงมานี่สิ แต่ละคน ก็เก่งอย่างน้อยก็เก่งในโรงเรียนและมีทัศนคติที่ดีกับวิชานี้

คือส่วนหนึ่งกลายเป็น เก่งทำข้อสอบ จริงแต่ไม่สามารถคิดได้ นั่นทำให้เกิดปัญหา และปัญหานี้มันแก้ไม่ได้เพราะ ทุกคนต้อง Entrance ในตอน ม.4-6

ความคิดผมมันต้องแก้ประมาณ เดียวกับเด็กแบบในกลุ่มที่ว่ามาหรือเล็กกว่า

ผมนั่ง ฝัน ลึกๆเลยว่า ผมจะเก็บพวกเขามาอย่างไีร ได้น้อยนิดก็ยังดี


โดยไม่ให้กระแสกลืน ไปทั้งหมด

ไม่งั้น ก็จะมีการกวดวิชา ไม่แน่นะ คณะแพทย์ ต่อไปอาจมีติวเตอร์หน้า ศิริราช แบบ ราม นะหมอนะ 555

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เรื่องของความฝันของคนแต่ละคน บางคนก็เป็นแค่ความผัน หากคิดแล้วไม่ลงมือทำ แต่สำหรับพ่อธีร์ และเพื่อนอีกหลายๆคนนั้น แตกต่างคือ ฝันแล้วลงมือทำ การที่เราถ่ายทอดข้อมูล หรือ ความคิดออกมาในสาธารณะ ย่อมส่งผลต่อความคิดของผู้อื่นด้วยไม่ว่าเขาจะเข้ามาอ่านหรือไม่ การเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องธรรมดา ตราบใดที่เราไม่หวั่นไหว และรู้ว่า เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร อุปสรรคไม่มีความหมาย หากพ่อธีร์คิดว่า งานที่เราเขียน ทำให้เด็กอย่างน้อยหนึ่งคน ได้รับความรัก ความเอาใจใส่ จากพ่อแม่มากขึ้น แม้เพียงหนึ่งนาที ก็คุ้มแล้วค่ะ หนึ่งนาทีน้้น อาจจะเป็นนาทีทอง ที่เขาจะจดจำว่า พ่อแม่รักเขามากมายเพียงใด เขาเป็นคนมีค่าต่อโลกนี้ ไม่ใช่คนที่เป็นภาระของพ่อแม่

ตอนนี้งานของพ่อธีร์ ก้าวมาถึงจุดที่มีการนำไปปฎิบัติในคนกลุ่มใหญ่ พ่อธีร์คงดีใจ ภูมิใจในความพยายามของคุณให้มาก ดิฉันเชื่อว่า ความฝันเรื่องห้องเรียนของเด็ก ไม่ไกล เป็นไปได้แน่นอนค่ะ

พ่อแม่บางคนที่ลูกเก่ง อาจจะไม่อยากให้ลูกมาแบ่งปัน เพราะกลัวว่าจะถูกถ่วง แต่ที่จริงมันเป็นการเรียนรู้อีกก้าวที่สำตัญของเด็กเก่ง เป็นการสร้างภาวะผู้นำได้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอสมัครเป็นแนวร่วมด้วยค่ะ..พ่อธีร์

หลังจากที่ได้คุยกับพ่อธีร์เมื่อวันพุธ ก็ได้ตามหา "ฮิคารุ เซียนโกะ" ปรากฎว่าโหลดมาได้ 5 ตอน พอน้องข้าวปั้นกลับมาจากโรงเรียนก็เล่าให้เขาฟัง และถามว่าอยากดูมั๊ย ปรากฎว่าดูติดต่อกันได้ 3 ตอน ต้องพักทำการบ้านก่อน ตอนนี้ก้พยายามโหลดเก็บไว้เรื่อยๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆ และข้อคิดเตือนใจในการสอนลูกค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ติดตามพ่อธีร์ จาก Web ร้กลูก แล้วค่ะ สนใจเลข 100
ช่องแต่ตัวดิฉันยังไม่เข้าใจหลักการเท่าที่ควร

ตอนนี้ได้แต่ให้ลูกสาวอายุ 5.4 ขวบ หัดเขียนเลข

1-100 แทน แต่ในอนาคต จะพยายามค่ะ(ตัวแม่)
ได้อ่าน Blog ของพ่อธีร์แล้ว ทำให้ได้ข้อคิด

หลายอย่าง ช่วงนี้ กำลังหา รร.ให้ลูกเข้าชั้น ป 1 โดย

ส่วนตัวตั้งใจไว้ว่าจะสอนเสริมลูก ด้วยตัวเอง แต่ความรู้

น้อยทำให้ไม่มีความมั่นใจว่าจะสอนได้ เลยมีความคิด

ว่าจะให้ลูกเข้า ร.ร แนววิชาการ แต่ตอนนี้เริ่มลังเล

แล้วค่ะ

ขอสนับสนุนแนวคิดพ่อธีร์อีก 1 เสียงค่ะ เรื่องห้องเรียน
สำหรับเด็ก ๆ และขอเป็นกำลังใจให้เขียนบทความดี ๆ
ต่อไปค่ะ

pu

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

ผมนั่งดูข่าวความเป็นไปของบ้านเรา ณ ตอนนี้

จู่ๆก็มีคำพูดของทั่นผู้นำ (ที่ผมเองก็ไม่ปลื้ม)
ลอยเข้ามาในหัว "บ้านนี้เมืองนี้มันเป็นยังไง...."

นึกๆแล้วก็ให้รู้สึกหดหู่ใจ
ว่าการที่คนเราจะเอาชนะคะคานกันให้ได้นี่
มันต้องห้ำหั่นกันดุเดือดถึงเพียงนี้เชียวเหรอ
ค่าตอบแทนของชัยชนะมันต้องแลกมาด้วยการลงทุนที่สูงขนาดนี้เลยเหรอ ชนะแล้วมันจะคุ้มกันหรือเปล่า

ทำไมเราไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย จากประวัติศาสตร์ที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และ มีทีท่าว่าย้อนรอยกลับมาหาเราอีกไม่รู้จักจบสิ้น

ไม่เอา... ไม่พูดดีกว่า

เรื่องของเรื่อง คือ พอดีไปอ่าน Reader Digestฉบับเดือนส.ค.นี้

มีพูดถึงเรื่องความประทับใจในจิตวิญญาณแห่งโอลิมปิก
ที่ผู้แข่งขันเหล่านั้น สอนให้เรารู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของกีฬา

อ่านเสร็จแล้วนึกถึงพ่อธีร์เลย
เข้ากับหัวข้อนี้มากๆ
ขอคัดลอกมาให้อ่านกันนะครับ

ซารา เรนเนอร์ นักสกีวิบากชาวแคนาดา
ทำไม้ค้ำสกีหักขณะแข่งขัน ช่วงทางลาดขึ้น
เธอพยายามฝืนไปต่อ แต่ก็หมดหวัง
นักสกีหลายคนแซงหน้าเธอไปคนแล้วคนเล่า

จู่ๆก็มีชายคนนึง ก้าวมาจากข้างทาง
แล้วยื่นไม้สกีข้างนึงให้เธอ
เธอกลับเข้าสู่การแข่งขัน และ ช่วยให้ทีมแคนาดาคว้าเหรียญทองไปได้ในที่สุด

หลังจบการแข่งขัน เธอจึงได้ทราบชื่อของผู้ที่เข้ามาช่วยเธอ ซึ่งก็คือ บเยอร์ ฮาเกนสโมเอน ที่เป็นโค้ชทีมนอร์เวย์ ซึ่งเข้ามาเป็นอันดับ4

ฮาเกน กลายเป็นวีรบุรุษของแคนาดาในทันที นสพ.ในมอนทริออล แคนาดา พาดหัวตัวโตเป็นภาษานอร์เวย์ แปลว่า "ขอบคุณ"

แต่ที่เด็ดกว่านั้น คือ ฮาเกนไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องตื่นเต้นกันมากขนาดนั้น

"จิตวิญญาณของโอลิมปิก คือ วิถีที่เราพยายามยึดถือ" เขากล่าวกับนสพ.ฉบับนึง
"ถ้าคุณชนะ แต่ไม่ได้ช่วยเหลือใครในเวลาที่คุณควรช่วย นั่นเป็นชัยชนะประเภทไหนกัน?"

BJ กล่าวว่า...

ฮาเกนไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องตื่นเต้นกันมากขนาดนั้น

"จิตวิญญาณของโอลิมปิก คือ วิถีที่เราพยายามยึดถือ" เขากล่าวกับนสพ.ฉบับนึง
"ถ้าคุณชนะ แต่ไม่ได้ช่วยเหลือใครในเวลาที่คุณควรช่วย นั่นเป็นชัยชนะประเภทไหนกัน


ประทับใจกับ quote คำพูดของคุณหมอพ่อน้องพลอยมากค่ะ

ฝันอยากเห็นเหมือนพ่อธีร์นะคะ
เรารู้สึกดีทุกครั้งที่มีพ่อแม่ pm มาให้กำลังใจทางเว็บบอร์ดรักลูก

แต่ตอบไม่ได้หมด บางทีก็ลืมตอบ แหะๆ ขออภัย

คุณแม่หลายท่านบอกเล่าให้รู้ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการสอนลูกที่บ้าน
ทำให้รู้สึกดีว่าอย่างน้อยเรามีส่วนช่วยเหลือสังคมได้

หวังว่า ... จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ แบบนี้ จะช่วยจุดประกาย เป็นพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้
แม้จะใช้เวลานานคงหลายสิปบี (อาจจะครึ่งร้อยปีแน่ๆ)

หวังว่าอย่างน้อยจะช่วยทำให้บ้านเมืองในอีกร้อยปีข้างหน้าดีขึ้นกว่านี้บ้าง

ตอนนี้คุณตาคุณยายอยู่บ้านแล้ว ม่ได้ไปร่วมกับพันธิมตร
แต่ยังเฝ้าติดตามและส่งกำลังใจไป

คุณยายถูกน้องสาวคนเล้ก ขอร้องแกมบังคับ ให้อยู่แต่ในบ้าน

วันศุกร์ คุณยายสั่ให้คุณตาช่วยดูหลาน แล้วตัวเองก็ไปทำเนียบ

สี่ทุ่มแล้วคุณยายก็ยังอยู่ในทำเนียบ

คุณตาต้องไปรับกลับ พร้อมคำสั่งห้ามเด็ดขาดจากลูกสาวคนเล็ก

ที่เล่ามาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนหรอกค่ะ

เพียงแต่อยากบอกว่า
คุณตาคุณยายบอกว่า ยังไงฉันก็ต้องไป เพราะฉันอยากให้เกิดการเปี่ยนแปลง

สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปี่ยนแปลงนะคะ

แม้ว่ามันอาจจะเกิดในรุ่นเหลน หลือ เหลนของเหลน

ก็ตาม

เราเชื่อมั่นเช่นนี้ค่ะ

แสดงความคิดเห็น

Subscribe