8/26/2551 02:35:00 หลังเที่ยง

วันนี้ลูกคุณเล่นกีฬาแล้วหรือยัง

เขียนโดย VARAVEE |

จากตอนนี้นะครับ

ที่รบกวนให้คุณศรันยูเล่านะครับ

เรื่องโรงเรียน ไม่เด่นไม่ดัง เป็นไปได้ด้วยหรือ

ลองมาอ่านนะครับ

===============

 

สวัสดี คุณธีร์ และ เพื่อนๆ ใน บล็อก ทุกท่านนะครับ

ที่ผ่านมาติดตามอ่านงานคุณธีร์ ตลอดเลย ถ้าผม เป็น คนใหญ่คนโต ในบ้านเมือง ผมอยากให้คุณธีร์ ทำงานกระทรวงศึกษาธิการ

จริงๆ ผมอยู่ในโหมดแอบอ่าน มานาน เพราะ อะไร ที่พอจะเขียนได้ ก็ เขียนไปเกือบหมดแล้ว ตอน เขียนในกระทู้คุณธีร์ ที่ บอร์ด รักลูก เผอิญ คุณธีร์ เชื้อ เชิญมาให้เขียนอีก ใน บล็อก ก็ ยินดีและเต็มใจมากๆ

พูดถึงเรื่องโรงเรียนดัง ไม่ดัง นี่ สำหรับตัวผม แล้ว ในช่วงประถม ผม ไม่ค่อยถือเป็นประเด็นเท่าไร เหตุผล ง่ายๆ เลยครับ คือ ถ้าเราเตรียมลูกเล็กๆ ของเรามาพร้อมแล้ว เราแทบไม่ได้หวังการเรียนทางด้านวิชาการจากโรงเรียน เลย แต่ ก็ จะมีหลายวิชาที่เราไม่ได้สอน เช่น ศิลปะ การงาน สังคม ซึ่งตรงนั้น ก็ ไม่ได้ลำบากนักในการเรียนรู้ แต่เราต้องการให้เค้ามีกระบวนการสังคม ที่ที่บ้านให้เค้าไม่ได้

ขอออกตัวนิดนะครับ ลูกผม ไม่ใช่เรื่องของอัจริยะ สิ่งที่เขาทำได้ ได้จากการฝึกครับ ฝึกตั้งแต่เล็ก ในสภาพที่ควรฝึก โดยที่เด็กเล็กเองเค้ามีศักยภาพให้เราดึงอยู่แล้ว ว่ากันตามจริงการฝึกเริ่มตั้งแต่ในท้องด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น อะไรที่เค้าทำได้หลายๆ อย่าง ไม่ได้อยู่ดีดี ก็ เกิดได้มาเองครับ สิ่งที่ผมทำก็ เคยเล่ามาหมดแล้ว น่าจะลองทวนซ้ำอีกซักนิด เพื่อ เป็น พื้น สำหรับ เข้าเรื่องนะครับ

ตอนแฟนผมท้อง เค้าทำบุญบ่อยมาก บางช่วงตักบาตรทุกวัน ตอนเค้าท้อง 5 เดือน ผมพาเค้าไปนั่งสมาธิที่ เชียงใหม่ ในรีสอร์ท สบายๆ 5 วัน (เท่ากับลูกนั่งด้วย) เวลาตักบาตรตอนเข้า แม่เค้าจะลูบท้อง แล้ว บอก ตักบาตรกับแม่นะ (ลูกรับรู้และทำด้วย) หน้าที่ของผมตอนแฟนท้อง คือ ทำให้ ภรรยา แฮปปี้ อย่างเดียว ทำแต่เรื่องสบายใจ เรื่องไม่สบายใจเอาทิ้งให้หมด อาหารการกิน ให้ครบถ้วนห้าหมู่

พอลูกผมคลอด พ่อกับแม่ก็กอดเค้าเยอะๆ รักเค้าแยะๆ คุยเล่น กับเค้า ให้เค้าได้นมแม่ แล้ว ก็ เริ่มเปิด บทสวดมนตร์ เพลงคลาสสิค (เริ่มจริงๆ ตั้งแต่ตอนท้องแล้วครับ) เปิด ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และอื่นๆ ดูแลเค้าให้ดี หาภาพ พัฒนาสายตาให้เค้าดู หาของเล่นให้เค้าเล่นของเล่นนี่ หาของเล่น ที่พัฒนาเค้านะครับ ตอนเล็ก อาจเป็น การพัฒนาสัมผัส เสียง และอื่นๆ คนโตตอนสองเดือนกว่าเค้าพลิกตัวได้แล้ว เค้าพลิกด้วยการดันแขนขึ้น สองข้างแล้วหุบแขนข้างนึง ตอนแรกเราเห็น ก็ ทึ่ง

พออายุ ขวบกว่า น่าจะขวบ 8 หรือ 9 เดือน เค้าก็ จะจำ เอ – แซด ได้หมด ใกล้ 2 ขวบ จำ ก-ฮ ได้หมด ขวบกับเก้าเดือน เริ่มคลิก คอมพิวเตอร์ เล่นเกมส์การศึกษา ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และ ไทย สองขวบปลาย บวกลบเลขได้แล้ว แล้ว ก็ เริ่มทำแบบฝึกเชาวน์ จิ๊กซอว์ บล็อก สอบเข้าสาธิต (ช่วงเวลาทำแบบสอบเชาวน์จำได้ไม่ถนัดอาจเริ่มช้ากว่านี้) ตอนนั้น ก่อนเข้าอนุบาลตอนสามขวบเค้ารู้ศัพท์ ภาษาอังกฤษเยอะแยะ สำเนียงฟังจากซีดี ออก ได้ ชัดมาก พอเข้าอนุบาลหนึ่ง ตอน สามขวบ ผมหาครูฝรั่งให้เค้าเรียน เริ่มภาษาจีน และ อื่นๆ เล่น โอเอ็กซ์

ลูกผมเข้าอนุบาลหนึ่ง ครั้งแรกตอนสามขวบ ไปเข้าที่โรงเรียนจีน ค่าเทอม 1500 บาท แล้ว ก็ มีค่าอาหาร 1200 บาท เด็ก นักเรียนในห้อง มี ประมาณ 40 คน ปรากฎว่า ลูกเราเป็น คนนำสอนเพื่อนในห้องเป็นประจำ สามขวบกว่า เริ่ม หัดเล่น หมากฮอส โดยการไปดูผู้ใหญ่เล่นกันข้างบ้าน แล้ว ภายในเวลาเดือนหรือ สองเดือน ก็ เล่นเองชนะผู้ใหญ่ได้ แบบหลอกกินสองได้เลย

ช่วงสามขวบครึ่ง ใช้เวลาหัดอ่านภาษาไทย อ่านหนังสือ ภาษาไทย ป.1 ทั้งเล่ม ภายในหนึ่งอาทิตย์ ฝึกพิมพ์สัมผัสภาษาอังกฤษผ่านเกมส์ โดยใช้นิ้วแปดนิ้วสัมผัส ตอนสี่ขวบย้ายไปเรียนโรงเรียนหลวง เป็นอนุบาล1 ใหม่ เรียนฟรีครับ มีนมแจกอีกต่างหาก เสีย ค่าอาหาร 1000 บาทไม่ได้สอนวิชาการ สอนเตรียมความพร้อม วาดรูปปั้นดินน้ำมัน ร้องเพลง ปรากฏว่า มีเค้ากับเพื่อนสองคนได้ไปนำเด็กอนุบาลทั้งสิบกว่าห้อง ร้องเพลงหน้าเวที ห้าขวบเริ่มหัดเล่นเปียโน หลังจากนั้น อีก 7 เดือน เริ่มเล่น ไวโอลิน แล้วช่วงนี้ก็ไปหัดว่ายน้ำ

ตอนนี้ อายุ 7 ขวบป.2 ทำเลข ป.6 เรียน ภาษาจีน ญี่ปุ่น ได้ดี กว่า เฉลี่ยมาก ทำภาษาอังกฤษ ได้ดีมาก ทำข้อสอบเด็ก ep ม.1 โรงเรียนประจำจังหวัด ได้ 80 เปอร์เซ็น ตอน ป.1 ตอนนี้ ป.2 ทำข้อสอบมงกุฎเพชร ป.3 ภาษาอังกฤษได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นเดี่ยว ไวโอลิน เพลงพระราชนิพนธ์ ตอน หกขวบ ป.1 ต่อหน้าคนหลายพันคน แบบ ไม่มีสั่นซักนิด ออกเล่นเปียโน และ ไวโอลินโชว์ ปีละ 3-4 ครั้ง เล่นเปียโน ดีกว่าเกณฑ์มาก ว่ายน้ำ ดีกว่าเกณฑ์ เริ่มเล่นเทนนิส หัดเล่นโกะ หมากรุกไทย ตามโอกาส เป็น หัวหน้าห้องและ รอง ตั้งแต่อนุบาล1 โรงเรียนราษฎร์ จนถึงโรงเรียนหลวง ชั้น ป.2 แล้ว ก็ อยู่หน้าชั้น สอนเพื่อน ตั้งแต่อนุบาลยันป.2

ที่เล่ามาเนี่ย ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อวดเลยนะครับ พ้นเวลานั้นมาจนหมดแล้ว ที่เล่ามานี่ เพียงแต่จะบอกว่า เมื่อไรก็ตามที่เราเตรียมลูกเราไว้ดีแล้ว เราไม่ได้กังวลหรอกครับ ว่าเค้าจะเรียนโรงเรียนอะไร เราอยากให้เค้าไปเล่นกับเพื่อนมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ไปเรียนรู้การอยู่กับคนหมู่มาก ตอนอนุบาล1 โรงเรียนราษฎร์ เค้าสอบ ได้ 100 เต็ม ป.1 ที่ผานมา ได้ 98.5 เปอร์เซ็น แต่เชื่อไหมครับ วันพรุ่งนี้ที่เค้าจะสอบ เราไม่ได้เดือดร้อนใจ วันสอบหรือไม่สอบ ก็ เป็นวันปกติสำหรับเค้า กลับบ้านก็ เล่นเหมือนเดิม ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดตามปกติ วิ่งไปเล่นบ้านเพื่อน หรือ ไม่ก็เล่นกีฬา คือ วันสอบ ไม่ได้มีอะไรกดดันหรือ ต้องเตรียมอะไร เพราะเตรียมมาพอแล้ว เค้าเป็นตัวแทนไปตอบปัญหาคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นเป็นประจำ ได้ที่ 1 ในระดับชั้น ทุกครั้ง แต่ไม่เห็นเค้าตื่นเต้นอะไรมากมาย บางที แข่งจบแล้ว ค่อยมาเล่าว่าได้ที่ 1 ทั้งหมดนี่มาจากการเตรียมของพ่อแม่ครับ ส่วนเด็ก นั้น เค้ามีศักยภาพในตัวเค้าเองอยู่แล้ว หน้าที่ของพ่อแม่คือ การดึงออกมา

ผมเคยเล่ามาแล้วว่าที่จังหวัดผม มีเนอสเซอรี่ และ อนุบาลที่ดังมาก ใช้หลักสูตรอิสราเอล เราก็ ไปดู ครับไปคุย กับเจ้าของโรงเรียนพอเล่าเรื่องวิธีเลี้ยงลูก และ สิ่งที่เค้าทำได้ คำตอบจากเจ้าของโรงเรียนคืออะไรทราบไหมครับ เจ้าของบอกว่า เลี้ยงดู และ ได้ผลอย่างนี้ได้ มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ทำได้ โรงเรียนทำไม่ได้หรอก นี่ก็ เป็นประเด็นชี้ล่ะครับ ว่า หน้าที่ที่เราสอนเค้าตอบเด็ก ยัง เล็ก น่ะ เป็นหน้าที่สำคัญของพ่อแม่ที่พึงกระทำครับ อย่ายกหน้าที่สำคัญอันนี้ไปเป็น ของโรงเรียน หรือ ที่เรียนพิเศษเลย เว้นบางอย่างที่เราสอนไม่ได้อย่างดนตรี

เรื่องโรงเรียนหลวงเรียนฟรีนี่ มีคนแถวบ้านผมสงสัยเยอะมาก ว่าทำไมไม่เรียนโรงเรียนฝรั่งที่ดังในตัวจังหวัด ซึ่งภาษาอังกฤษ เป็นที่รู้กันว่าจะดีมาก เอาเป็นว่าแถวบ้านผม มีลูกผมคนเดียว เรียนโรงเรียนหลวง ผมมีเหตุผลเฉพาะตัวน่ะครับ พูดแล้ว อาจดูตลก คือ ผมไม่ชอบสวดมนตร์ คริสต์ ตอนเช้าๆ ทุกวัน ทุกวัน ผมอยากให้ลูกผมสวดมนตร์พุทธมากกว่า เหตุผลหลักมีเท่านี้ ฟังดู อาจจะแปลกๆ อีกประการผมเชื่อว่าการเตรียมพร้อมของเราตั้งแต่เล็กทีใส่ให้เค้านั่นเพียงพอแล้ว ก็ ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะถ้าเทียบเกณฑ์ กับ เด็ก เรียนคาทอลิก ลูกเราก็ ยังดีเกณฑ์ อยู่มากมาย ทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของอัจริยะ นะครับ แต่เป็นเรื่องของการดึงศักยภาพของเด็ก ในวัย และ เวลาที่ควร

เรื่องนึงที่จะเลยไปไม่ได้ คือ เรื่องบทความและแนวทางการสอนของพ่อธีร์ เยี่ยมมากๆ นะครับ ผมนิยมชมชื่นและนับถือเลยทีเดียว เหตุผลหรือครับ คือ พ่อธีร์ ไม่มีกั๊ก ลูกพ่อธีร์เก่ง ก็ ให้แนวทางบอกแก่คนอื่นได้รู้ด้วยว่าทำยังไง นี่เป็นความใจกว้าง แล้ว เรื่องนั่งเขียนกระทู้และบล็อก นี่ ถ้าไม่นับความชอบในการเขียนส่วนตัว การเขียนกระทู้ และ การนำเสนอ ต้องใช้พลังงานมากมาย นอกจากนี้กระทู้พ่อธีร์ มีข้อมูลและหลักการอ้างอิงแนวทางชัดเจน เป็น ขั้นตอน ถ้าเชื่อและ ทำ อย่าคิดมากครับ ทำไปเลย ไม่ต้องหวังผลมาก แล้ว ผลที่ได้จะมาดีจนคุณแปลกใจ

ผมว่าโรงเรียนนี่เค้าเรียนน่าจะมีผลมากขึ้น ตอน ม.1 นะครับ คือตอนนั้น เค้าจะมีความรู้สึกของตัวเองชัดเจนมากขึ้นแล้วว่าอยากเรียนอะไร อยากอยู่ในสภาพแบบไหน ตอนนั้น ให้เค้าเลือกเลยครับ ตอนอนุบาลหรือประถมเนี่ย ถ้าได้เรียนโรงเรียนดีดี ดังดัง นี่ไม่ได้เสียหายอะไรนะครับ ถ้าพ่อแม่พร้อม ก็ น่ายินดี เพียงแต่อย่าโอนหน้าที่สอนลูกเราเมื่อเขายังเล็ก ให้กับโรงเรียนจนหมด เพราะ โรงเรียน และ คุณครู ไม่ใช่พ่อแม่ ทำแทนไม่ได้ น่ะครับ ส่วนลูกใครที่เรียนโรงเรียนหลวงใกล้บ้าน ไม่ได้เป็นเรื่องน่าวิตกเลย ถ้าเรามีการเตรียมพร้อมเค้าไว้แล้ว ให้เค้าได้เรียนรู้สภาพ ชีวิตนักเรียน แบบ สบายๆ มีเพื่อนหลากหลาย สภาพการเรียนสบายๆ ไปเล่นเยอะๆ ไปมีเพื่อนเฮฮา ตามประสาเด็กเยอะๆ เลยครับ แฮปปี้ออก ส่วนเรื่องเรียนที่บ้านถ้าเราทำตั้งแต่เด็ก และ ต่อเนื่อง มันไม่ได้เป็นเรื่องเครียดหรอก ครับ ทำบรรยากาศสนุกๆ แต่ทำทุกวัน อย่าไปเผลอเป็นยักษ์ ยัดความรู้กับลูกนะครับ บางที ผมก็เป็น พอเป็นแล้ว ก็ รู้สึกตัวได้เลยว่าไม่มีประโยชน์เลย สอนสนุก และ สบาย ได้ดีขึ้นกว่าเดิมก็ โอเคแล้ว

อยากยืนยันว่า เรื่องที่เล่ามาไม่ฟลุค เพราะผมมีลูกเล็ก อีกคน ตอนนี้ 2 ขวบเก้าเดือน สเต็ป การสอน และ พัฒนาการใกล้เคียงกันมาก คนนี้ใช้วิธีการสอนของพ่อธีร์ ชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ที่เขียนมามากมาย เพียงจะบอกว่า ทำเถอะครับ อย่าไปเทียบว่าใครได้แค่ไหน เป็นทุกข์เปล่าๆ แค่ทำเพราะว่านี่เป็นสิ่งที่มีค่าควรทำ แค่เค้าดีขึ้นๆๆ แล้ว เราก็มีความสุข การสอนลูกได้เยอะแยะไปหมด ได้ความสัมพันธ์ ได้ความภาคภูมิใจ ได้ความรัก ได้ความสนิท ชิดเชื้อ ลูกคุณจะฟังคุณตั้งแต่เด็ก ลองคิดดูซีครับ ถ้าคุณสอนเค้าตั้งแต่เล็ก จนเก้าขวบ แล้วประคองไปเรื่อยๆ ความรู้ฟังของเค้ากับพ่อแม่จะพัฒนาไปแค่ไหน น่าจะแก้หรือผ่อนปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นไม่ฟังพ่อแม่ไปมากโข ทั้งหมด ทั้งมวล เห็นชัดว่าไม่มีวิธีลัด มีแต่การทำ อย่างถูกหลัก และ ต่อเนื่อง ยังมีเรื่อง อีก บางเรื่องที่ผมว่าสำคัญมากๆ อย่างเรื่อง อีคิว เอ็มคิว และสมาธิ ไว้ถ้ามีโอกาศจะมาเล่าต่อนะครับ ผมเชื่อ พ่อธีร์ที่ว่า ไม่มีทางลัดสำหรับการพัฒนา แชมเปี้ยน (หรือ พัฒนาลูกรักให้พร้อมสำหรับอนาคต)

เรื่องที่ยังไม่ได้เล่าเท่าไรเรื่องนึง คือ กีฬาครับ เวลาลูกเรายังเล็ก เราก็เล่นกับเค้าไปหมดแหละ ครับ เตะบอล เล่นบาส วิ่งแข่งถีบจักรยาน เวลาเตะบอล ตอน สามขวบกว่า ก็ สอน เตะด้วยขาข้างซ้าย สามขวบกว่า ก็ เลี้ยงลูกบาสได้แล้ว ห้าขวบหัดว่ายน้ำ เริ่ม ผิดครับ เริ่มด้วยการหัดที่ผิดท่า พอเปลี่ยนคุณครู ตอนนี้ ยังแก้ ท่าที่ผิดไม่หายเลย แต่ก็ยังดีนะครับ เป็นการ ออกกำลังกาย เรียนรู้ที่จะแพ้ชนะ คือ การแข่งมันเป็นสัญชาตญาณ น่ะครับ แต่ พอแพ้ แล้ว เค้าก็ จะรู้ว่าการแพ้เป็นอย่างไร

ยิ่งลูกผมว่ายแก้ท่ายังไม่ได้ ยังว่ายแพ้ เด็กผู้หญิงที่อ่อนกว่า 5 ขวบกว่า แต่เริ่มมาด้วยการว่ายที่ถูกท่า ก็ แพ้จนยอมรับได้ว่าแพ้ แพ้ ก็ เล่นกันต่อ วันไหน ชนะ ก็ เย่ ก็ เท่านั้น ผมว่าเรื่องนี้ เป็น เรื่องสำคัญในอนาคต ยอมรับการชนะ และ การแพ้ ส่วนช่วงนี้ เค้าก็ ไปหัดเล่นเทนนิส และ ตีปิงปอง เอาสนุกเข้าว่า เป็นเรื่องที่ชอบและ อยากทำมากๆ

มีคำถามเลยครับ วันนี้ลูกคุณเล่นกีฬาหรือยัง

========================================

เป็นไงครับคนอ่าน ห่างกัน จาก อุดร กับกรุงเทพ แต่คล้ายกัน มากใช่ไหมครับ

มันอยู่ที่ตัวคุณและความเชื่อมั่นเท่านั้นครับ

ขอบคุณ คูณ ศรันยู มากครับผม

6 ความคิดเห็น:

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

แวะเข้ามาอ่าน
อ่านแล้วขนลุกเลย
ดีใจกับคุณศรัณญูด้วยจริงๆ

พ่อแม่แบบนี้แหล่ะครับที่ผมอยากให้มีในบ้านเราเยอะๆ
คือ ไม่ต้องไปทำตามกระแสของสังคม
ต้องเข้ารร.โน้น รร.นี้ตามๆกัน แค่เพราะ เป็นรร.ดัง
แต่แผ้วหาหนทางใหม่ๆที่ดีที่สุดให้กับลูกเรา
และ มั่นใจในสิ่งที่ได้เลือกไว้แล้ว

เพราะ พ่อแม่เรานี่แหล่ะที่รู้จักลูกของเราดีที่สุด
ครูที่ไหนก็ทำแบบนี้ไม่ได้จริงๆครับ

ขอปรบมือให้ดังๆอีกครั้งเลยครับ ยอดเยี่ยมมากๆ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณพ่อธีร์และคุณศรัญญูที่แบ่งปันเรื่องพิเศษนี้นะคะ ทำให้รู้สึกมั่นใจในสิ่งที่เรากำลังทำ และนำเสนอกับสังคมอยู่ แม้การแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ก็ต้องมีจิสำนึกในความรับผิดชอบต่อความเป็นไปในสังคมด้วย หากสิ่งที่นำเสนอนั้น เป็นสิ่งที่ทำลายสังคมในภาพรวม กระแสสังคมหลายๆเรื่องตอนนี้ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แม้่จะเป็นแฟชั่น หรือ เป็นกระแสที่คนยอมรับเชื่อถือ แต่มันทำลายอนาคตของชาติค่ะ น่าห่วงยิ่งนัก

BJ กล่าวว่า...

อ่านแล้วซึ้งจังค่ะ
ลูกต้องภูมิใจในตัวคุณพ่อมากๆ แน่เลย

ลึกๆ เราอยากให้ภช.เรียนสูงๆ ดีๆ แล้วบวชเป็นพระไปตลอดชีวิตเลย

แม่อยากได้อานิสงค์ค่ะ

ครบอายุบวชเณรเมื่อไร จะฝากไปอยู่กับพระทางอิสาน
แล้วจะแวะเยี่ยมคุณศรัณยูนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ฮูฮู อ่านแล้ว ขนลุกซู่ ตัวเอง จะทำได้มั้ยน้อ ตอนนี้ ที่ทำสำเร็จ คือให้เจ้า ตัวเล็ก นับเลข 1-20 สบายมาก นับถอยหลัง พอไหว ให้เล่นตาราง ร้อยช่อง พ่อเจ้าประคุณ ชอบวางแค่ เลข 1 กับ 100 นอกนั้น หยิบเลขมาเก็บไว้ในมือ แกล้งแม่ ซะงั้น

รออ่านหนังสือ ของแม่ BJ อยู่ค่ะ เมื่อไร จะเสร็จน้อ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากขออนุญาตพ่อธีร์และคุณศรัญญู เอาเรื่องที่คุณศรัญญูเล่า ไปเป็นบทสรุปกระทู้ เรื่องของเทคนิคการเรียนเก่ง ที่ดิฉันปั้นอยู่ตอนนี้ในเวบบอร์ด แต่จะไม่เปิดเผยตัว และจะไม่นำไปทั้งหมด จะเอาเฉพาะเนื้อใหญ่ใจความเรื่องวิธีการที่คุณศรัญญู เตรียมและทำกับลูกค่ะ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มาก ขออนุญาตไว้เลย แต่หากทั้งสองท่าน เห็นว่าไม่เหมาะ ก็แจ้งมาได้เลยทาง อีเมลล็ หรือ ในบล็อคก็ได้ค่ะ ดิฉันไม่น้อยใจ

ศรัน กล่าวว่า...

สวัสดี ทุกท่านครับ

พ่อธีร์ มาเขียนแล้วนะครับ หวังว่าคงได้ประโยชน์ ขอบคุณมากที่ให้โอกาศมาเขียน

ขอบคุณ พ่อน้องพลอยมากๆ ครับ

คุณ มนแชง ยินดีให้เผยแพร่ครับ

คุณ bj ครับ ใจตรงกันเลย ผมก็มีความหวังไว้ลึกๆ

คุณ mnpinpin ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

แสดงความคิดเห็น

Subscribe