9/06/2551 10:58:00 หลังเที่ยง

กลับมาที่ คณิตศาสตร์ ตามคำร้องครับ

เขียนโดย VARAVEE |

พออ่าน ตอน 3000-5000 ชั่วโมงแรก เห็น น้องนก คุณก็จะคิดว่า โอโฮ อะไรจะโชคดีขนาดนั้น ฟ้า ส่ง โค๊ชระดับโลกมาให้ข้างบ้าน เห็น TESSA นั่งแก้ Calculus ตอน 6 ขวบ คุณก็บอกว่า โอ ศาสตราจารย์ ทางคณิตศาสตร์ สอนนี่ จนไปถึง น้องพลอย คุณก็บอกว่า ดูซิ พ่อเขาเป็นหมอ มาถึงผมก็มีคนว่า

เพราะฉะนั้น ผมขอบอกให้ว่ามันเป็น ข้ออ้างทั้งนั้นครับ

(จะเชื่อไหมครับ คนสอนโกะ ลูกสาวผม มี 2 คน คนหนึ่ง 1 ดั๊ง คนหนึ่ง 3 ดั๊ง รวมผมอีกคน ก็เป็น 3 คน นั่งปวดหัว เพราะไม่รู้จะสอนเข้าไปไง เพราะมีแต่กระบวนการที่เป็นความคิดของผู้ใหญ่หมดเลย จะว่าลูกเรา รู้ ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ได้ ตอนนี้ ก็นั่งมึนกันในทุกทุก พฤหัส และ อาทิตย์ ไม่รู้จะเดินไง

เล่นกับผู้ใหญ่เล่นได้ เล่นหับคนเล่นเป็นเล่นได้ดี  พอหาคนเล่นไม่เป็นมาให้เล่น ก็เล่นไม่ได้ เล่นไม่เป็นซะงั้น

ผมโชคดีไงครับ ที่เห็น เพราะ ผมมีลูก 2 คนแฝด และเป็นอาการเดียวกันเลย แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่แน่ คือถ้าเขาเป็นคนเดียว มันสรุปง่ายครับ

พอจับเล่นกันเอง ก็ใช่ว่าเล่นได้นะครับ เล่นไม่เป็นเลยอย่างเดิม ระดับ ลงไป 10 -15 ระดับเลย

แต่ตอนนี้สรุปได้ก็คือ จะเล่นได้เฉพาะกับคนที่เล่นเป็น เท่านั้น และดันชนะผมด้วย ระดับ  สูงกว่าผมอีก ทั้งคู่เลย

ตอนนี้ งง หมด แล้ว ไม่รู้จะสอนตรงไหน เพราะ ตรรกะ ลึกๆ อ่านหมาก 5 ตา สอนไป ก็ไม่ฟัง ทำไม่ได้เฉย อีก

แต่พอไม่สอน ทำได้แนะ มาอธิบายเรา เป็นรูปนก รูป ดอกไม้อีก แต่สิ่งที่เราเห็นคือ จินตนาการในคำตอบมีอยู่อย่างเดียวเลยจริงๆ นอกนั้น จับประเด็นไม่ได้เลย เพราะคนเดินเป็นมันจะมีรูปแบบการเดินอยู่ที่เป็นเฉพาะ แบบที่ผมเคยบอกไว้เรื่ออง Chaos

คนสอน หมดสิทธิสอนเลย ไม่รู้สอนไงต่อเลย เห็นไหมครับ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แม้มีคนเป็นอยู่ก็ตาม

กำลังนั่งคิดวิธีอยู่ แต่ก็นั่งนึกว่า สักวันเธอยังไงก็ทำได้เอง ……..เลยปล่อยไปก่อนแบบนี้

)

 

พอเห็นคนสอนลูกได้เหรียญ คุณก็บอกว่าเร่งไปทำไม อันนี้ก็อ้าง เพราะ ไม่สอน มัวไปยึกติดทฤษฎี ว่าพร้อมแล้ว ก็ดีเอง แต่ ไม่ยึดทฤษฎี ปัจเจก

ผมก็มักบอกว่า ไม่เร่งก็ไม่ทันอีก เพราะฉะนั้นคำตอบผมคือ เร่งขึ้นมาน่ะ ไม่ผิดนะครับ แต่เหนื่อย ผมเห็น หลายคนทำแล้วเหนื่อยแทน ผมอาจคิดแทนเขาก็ได้ว่าเขาเหนื่อย

ทั้งๆที่เขาอาจไม่เหนื่อยเลย แต่ผมเห็น ชม. 3000-5000 ที่เป็นด่านวางอยู่ข้างหน้าไงครับ คือพอเร่งไปมันหยุดก็ไม่ได้ มันก็เลยต้องไปเรียนพิเศษ เกินชั้นเรียน ที่สยาม เดี๋ยวนี้เห็นเยอะครับ เด็กม.1 มาเรียน ม.3 ลองหาในบอรดรักลูกซิครับมีนะครับ พอติดด่านนี้ พ่อแม่ที่เก่ง ก็จะไม่รู้ทำไงแล้ว เคยชอบคณิตศาสตร์ หวังจะเป็นตัวแทนทางคณิตศาสตร์ แต่ต้องทิ้งก่อน ไปเอาดีทางวิทยาศาสตร์ แทน เหตุเพราะ ด่านนี้แหละครับ ด่าน 3000-5000 ชม.

และพอเร่งขึ้นไปแล้ว บุคลิกบางอย่างมันหายไป ก็เท่านั้น

(นักกีฬาหลายคน ก็ทิ้งเพราะด่านนี้ คนที่ผ่านด่านนี้ ก็อาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ด่านนี้ ก็แบบที่ ไมเคิลเฟลป์ เจอ แหละครับ คือ ไม่อยากว่ายน้ำแล้ว เล่นอย่างอื่นดีกว่า )

เพราะด่านถัดไป ไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาการ นี่ จาก ชม.5001-10000 มันกินเวลาแค่ 3-4 ปีครับ

เก็บหมดเลย 5000 ชม.

3000-5000 ชม.หลังนี่  ใน 3-4 ปี อย่าคิดว่าเป็นไม่ได้นะครับ

นึกถึง ช่วง entrance สมัยกอนเลยครับ คุณให้เวลาวิชาเลข นี่ ไม่น่าต่ำกว่า 1000 ชม. ในแต่ละปีแน่แน่ ใน 3 ปีสุดท้าย ก่อน Entrance และนี่ ก็เป็นอีกสาเหตุที่ ทำไม ม.ปลาย เพิ่มมาเป็น 3 ปี ด้วยนะครับ ทำไมไม่คงไว้ที่ 2 ปี

เพราะฉะนั้น ไม่มีทางลัดในการพัฒนา แชมเปี้ยนเลยครับผม

และอย่าเอา กรณี เด็กอายุน้อยๆมาคุยกับผมนะ มันมีสาเหตุ ทำได้ไหม ทำได้ แต่ ทำไปแล้ว อาจจะเจอสังคมคาดหวัง หรือไม่ อันนี้ต้องตอบครับ ถ้าทำแล้ว ไม่มีอะไรก็แล้วไปครับ แต่ไม่อยากให้เอาเป็นตัวอย่าง เพราะถ้าเอาตัวอย่างกรณีแบบนี้ มันก็จะกลายเป็น คุณมองน้องนก คุณมอง น้องพลอย คุณมอง Tessa แล้วหาวิธีทำ

แต่คุณอาจจะลืม ประเด็น ทางจิตวิทยา ที่ นร. หรือ ครอบครัวเขาสามารถทำได้ ประเด็นทางศิลปะ ที่ เขาไม่ลืมทำ หรือ ประเด็นทางกีฬา ที่เขาทำเป็นปกติ

เพราะ คุณอาจไปมุ่งประเด็น ทำไงให้เขาได้ขึ้นมาแทน มันอันตรายมากกว่า มันเป็น คุณมากกว่า หรือโทษมากกว่า คุณตัดสินเองครับ

แต่ถ้าคุณคิดว่ายังไงฉันก็ไม่ลืมนะครับ ไม่ลืมประเด็นทาง จิตวิทยา ที่ต้องมองนักกีฬาเป็นหลัก ใส่ไปเต็มๆเลยครับถ้าเขารับไหว

============================

เหรียญก็ไม่เอา แต่ก็ให้ เร่ง สอนกันตั้งแต่  ในท้องแบบคุณศรันยู โอ้ยยย อะไรกันนี่ อ่านแล้วชักสับสนใน ชีวิต

เร่งไงล่ะ เร่งไปก็เลย ไม่เร่งก็ไม่ได้ หยุดก็ไม่ได้อีก โดน คุณ BJ จี้อีก โดนคนนั้นคนนี้ว่าอีก

ชักสับสนในชีวิตไหมครับ

งั้นมาอ่านนี่ครับ

ที่มาและเนื้อหา จากงานวิจัย ของ ริวตะ ควาวาชิม่า  ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนา ความฉลาดของสมองหลายเล่มที่ญี่ปุ่นและขายดีมาก

"NOU WO KITAERU OTONA NO KEISAN DORIRU"

Ryuta KAWASHIMA by KUMON Publishing Co,. Ltd

 

คุณริวตะ ได้เขียนวิธีการฝึกสมองที่มาจากงานวืจัยล่าสุดเกี่ยวกับสมอง ไว้ประมาณนี้นะครับ

จากงานวิจัยการทดลองของ คุณริวตะ พบว่า แค่

"อ่านออกเสียง" (ของเราใช้ Speed Reading)"การคำนวนเลขธรรมดาๆ"(ของเราใช้ เลข 100 ช่อง) "การเขียนอักษรภาพ(คันจิ)" (ของเราใช้ Mindmap)

แค่มีเวลาลองทำทุกวัน

สามารถฝึกสมองให้ปราดเปรื่องได้อย่างได้ผล ไม่ต้องมีสูตรลัดหรือวิธีซับซ้อนอะไรมากมายเลย

ได้มีการทำลอง ตรวจคลื่นสมองขนาดทำงาน โดยมี สีเหลืองสีแดง เป็นตำแหน่งของสมองที่กำลังทำงานอยู่ (เป็นของเหลวในสมองจะไหลเวียนด้วยความเร็ว) ยิ่งแดง จนเหลืองเท่าไหร่ ยิ่งบ่งชี้การทำงานมากขึ้นๆ

ในรูปใช้เครื่องแสกนสมอง วัดการทำงานของสมองโดยไม่เกิดผลเสีย ด้วย MRI จากการยิงอินฟาเรด

2

คุณริวตะได้เขียนบอกไว้ว่า ถ้าเทียบ ระหว่าง

การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์อย่างง่ายๆและเร็วๆ กับ ค่อยๆขบคิดแก้ปัญหา

ในขณะที่แก้ปัญหาแบบเร็วๆนั้น  นอกจากลอนสมอง ส่วนประสาทตาทำงาน สมองส่วนล่างใช้ในการตีความตัวเลลข ส่วนที่เป็น Wernike  ซึ่งทำงานเมื่อไขความหมายของศัพท์ ส่วนยอดที่ทำงานคำนวนเหล่านี้จะทำงาน ลอนสมองส่วนหน้าซึ่งทำงานสูงสุดในสมองทั้งหมด ทำงาน ทั้ง

"ซ้ายและขวา" เมื่อ เทียบกับ การค่อยๆขบคิด เราจะเห็นว่าสมองส่วนเดียวกันทำงานก็จริง แต่พื้นที่ใช้สมองก็จะน้อยกว่า

นอกจากนี้ ขณะกำลังครุ่นคิด หรือ ดู TV  สมองแทบไม่ได้ใช้งานอะไรเลย

ดังนั้น วิธีการฝึกฝนสมอง ด้วยการคำนวนโจทย์เลขแบบ ง่ายๆ เป็นวิธีฝึกการใช้สมองได้ดีที่สุด

ในรูป แบ่งการทำงานของสมอง ส่วนหน้าใช้ในการออกกำลังกาย

ส่วนยอดใช้เกี่ยวกับประสาทสัมผัส

ส่วนข้างใช้ในการฟัง

ส่วนหลังใช้รับสัญญานภาพ

ลอนสมองส่วนหน้า "เป็นแหล่งรวมพลังความสร้างสรรค์ พลังแห่งความทรงจำ พลังการสื่อสาร และ พลังการควบคุมตนเอง(สติสัมปัญชัญญะ)"

3

ภาพที่ลงประกอบในกระทู้นี้ ที่มาจาก

หนังสือ เลขคณิตพิชิตสมองเสื่อม เขียนโดย Dr.ริวตะ คาวาชิมะ แปลโดยคุณ อิศเรส ทองปัสโณว์

ภาพสมองขณะใช้ความครุ่นคิด (ไม่ใช่นั่งสมาธิ)

สังเกตุว่า ใช้งานสมองได้น้อยมาก

4

การใช้สมอง ขณะดู โทรทัศน์ TV

ใช้งานสมองได้น้อยเหมือนกัน

จนมีรายงานวิจัยเรื่องเด็กอเมริกันเคยอ้างว่า การเอาแต่ดูทีวีทั้งวันโดยไม่ทำอะไร มีผลทำให้สมองฝ่อได้ เป็นผลให้ปัจจุบัน เด็กอเมริกันรุ่นหลังมี IQ ด้อยลง ยิ่งดูทีวี บางช่องนี่สมองฝ่อลงทันตาเห็นนะครับ เพราะได้ยินแต่คำว่าใช่ไม่ใช่ พี่น้อง….

(สมองมีการ Input อย่างเดียวไม่ได้ใช้ส่วนที่ OUTPUT)

7

 

ทีนี้มาดูการทำงานของสมอง ที่ Dr.Ryuta บอกไว้ว่าเป็น เคล็ดการทำให้สมองพัฒนา

การทำโจทย์เลขง่ายๆแบบเร็วๆ สังเกตุว่ามีการใช้งานของสมองได้มากทั่วสมอง

8

สมองที่ขบคิดโจทย์อย่างง่ายๆ แต่ทำไปเรื่อยๆ

มีการทำงานของสมองน้อยกว่า แบบแรกค่อนข้างเยอะ

9

สมองที่ใช้ขบคิดแก้โจทย์ยากๆ

เมื่อสมองเกิดความเครียด สมองจะบีบตัวทำให้ของเหลวไหลเวียนไปตามสมองได้น้อย การทำงานของสมองสังเกตุว่า... น้อยมากๆๆ

11

หลักการ ของ Dr. Ryuta จะอธิบายว่า

การใช้สมองไปแก้ปัญหายากๆ บ่อยๆ ทำให้สมอง ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ สมองมีการพัฒนาการได้น้อย....

ขณะที่สมองที่ใช้แก้ปัญหาที่ไม่ยากนักแต่ทำด้วย สปีตเร็ว กลับ,,, สามารถพัฒนาการ ได้ดีกว่า (จากภาพประกอบ)

เปรียบได้ว่า ให้ทำสิ่งที่เป็น เบสิกให้แน่นๆและเร็วๆ ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเริ่มทำสิ่งที่ยากๆหรือ Advance เลยมันจะเป็นการไปหยุดยั้งการพัฒนาการทางสมองของคน

เด็กที่ถูกสอนให้ ทำเลขเบสิกให้แน่นๆเร็วๆและถูกต้อง(คำนวน บวกลบคูณหารธรรมดานี่หละ) สามารถไปเรียนรู้ สิ่งต่างๆต่อไปได้ประสิทธิภาพดีกว่า เด็กที่เรียนด้วยระบบปกติ(ของญี่ปุ่น) ถึง 20-30%

12

ทีนี้ เรื่องการฝึกความจำบ้าง

การทำงานของสมองด้วยการเขียนอักษรภาพ(คันจิ)

เราหัดด้วย Speed Reading

การนั่งอ่านหนังสืออย่างเดียว

(สมองมีแต่การ INPUT ไม่มี การ OUTPUT)

16

ลองเทียบเคียงนะครับ

"อ่านออกเสียง" (ของเราใช้ Speed Reading)"

การคำนวนเลขธรรมดาๆ"(ของเราใช้ เลข 100 ช่อง) "

การเขียนอักษรภาพ(คันจิ)" (ของเราใช้ Mindmap)

ผลที่ได้ไม่น่าต่างกันนัก

ไว้มาต่อครับ

แล้วจะอธิบายให้ฟัง เรื่องเลข 100 ช่อง เต็มๆ ว่า ทำยังไง

เพราะโดนทวงต้นฉบับ มา 2 อาทิตย์แล้ว จาก คุณภุฃงค์

15 ความคิดเห็น:

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

หวัดดีครับพ่อธีร์

เห็นชื่อ Ryuta KAWASHIMA ครั้งแรกตอนปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ลูกสาวเพิ่งเริ่มเรียน ครูมอง (ชื่อเดียวกับ สนพ.ที่พ่อธีร์อ่านนั่นแหล่ะครับ) ที่เขาเอามาลง เข้าใจว่า คงเข้าได้ดีกับหลักการของเขาดี ก็เลยรีบเอามาโปรโมตซะ

ต่อมาก็มาเจอชื่อนี้อีก แต่คราวนี้เป็นในรูปแบบ "เกมกด" ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ
ชื่อเกม Brain age ของ Nintendo DS

(ลองดูในเวบนี้ดูนะครับ
http://www.online-station.net/news/views.php?id=8129)

น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่มีนักวิชาการ มาเป็นตัวเอก(จริงๆน่าจะเรียกว่า ตัวช่วย มากกว่า)ในโลกของเกมกด แต่ได้ข่าวว่าคุณRyuta ได้ส่วนแบ่งจากเกมนี้มากพอที่จะเอามาสร้างห้องlabได้อีก 2 ห้องเลยครับ

ครั้งที่3 ก็ในblogนี้ล่ะครับ

สมัยผมเป็นนิสิตแพทย์ อาจารย์ผมมักสอนเสมอว่า อย่าเพิ่งรีบเชื่อในข้อมูลทุกอย่างที่ได้รับ แต่ให้ไม่เชื่อไว้ก่อน ให้สงสัย ตั้งคำถาม หาข้อมูล และ คิดวิเคราะห์ให้ถ้วนถี่ซะก่อน แล้วค่อยเชื่อ ทีนี้ผมเลยเกิดความสงสัยตามประสานักเรียนที่ดีขึ้นมาว่า

1 คุณ Ryuta ศึกษาเรื่องนี้ในผป.สมองเสื่อม อาจจะเป็นตามวัย เช่น dementia หรือ จากโรคต่างๆ โดยให้ทำโจทย์เลขง่ายๆทุกวัน พบว่า brain activity ที่วัดจาก PET scan มันดูเยอะขึ้น ก็เลยสรุปว่า มันช่วยชลอความเสื่อมของสมองได้

ทีนี้มันจะนำมาประยุกต์ใช้กับสมองคนปกติ หรือ ในเด็กได้ด้วยหรือเปล่า

2 Brain activity ที่วัดจาก PET scan
หลักการคือใช้สาร radioactive วัดปริมาณ glucose ที่สมองใช้ในareaต่างๆของสมอง ซึ่งบ่งถึงอัตราการใช้พลังงานของสมองในส่วนต่างๆ

คือ ตามหลักการของคุณ Ryuta เขาบอกว่า brain activity ที่มันน้อยลงมากๆในผป.สมองเสื่อม เพิ่มขึ้นหลังใช้หลักการของเขา

แต่ brain activity มันมีความสัมพันธ์กับความฉลาดในเด็กหรือเปล่า คือ การที่เราใช้พื้นที่สมองส่วนcerebral cortex(ที่เราเห็นในรูป ที่เป็นเปลือกสมองนั่นแหล่ะครับ)เยอะๆในการทำโจทย์ง่ายๆทุกวัน มันจะแปลว่าเรา"ฉลาด" มากกว่า การใช้พื้นที่สมองเพียงบางส่วนในการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งหรือไม่

3 แล้ว"ความฉลาด" นี่มันดูกันที่ตรงไหนกันแน่
- working memory จำข้อมูลได้เยอะ สามารถดึงข้อมูลต่างๆมาใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

หรือ
- fluid intelligence สามารถแก้ไขปัญหา หรือ สถานการณ์ใหม่ๆที่ไม่เคยเจอมาก่อน

4 การทำโจทย์ปัญหาง่ายๆทุกวัน กับ การคิดวิเคราะห์อะไรอย่างลึกซึ้งทุกวัน แบบไหนน่าจะเหมาะกับการเรียนรู้ของเด็กมากกว่า

ที่ถามมาไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับคุณ Ryutaนะครับ เพียงแต่ มันสงสัยจริงๆ อยากให้ลองวิเคราะห์กันดู

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

อีกเรื่องนึง

เรื่อง speed readingของพ่อธีร์
กับ หลักการของ Ryuta ผมว่ามันไม่เหมือนกันครับ

คือ การที่เราจะ speed readingได้เนี่ย
มันต้องอ่านในใจ กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ครับ
ไม่ต้องส่งเสียงพึมพำอะไรออกมา ไม่งั้นมันช้า

แต่ของ Ryuta เขาจะให้อ่านแล้ว ออกเสียงออกมาดังๆด้วย คือ มีทั้ง input + output เพื่อเป็นการกระตุ้นสมองอีกที

เรื่อง speed reading นี่ ผมว่าอีกวิธีที่ง่ายและสนุกด้วย คือ การไปเช่าหนังสือมาอ่าน เด็กๆนี่ผมทำบ่อย คือ ผมจะชอบอ่านการ์ตูนมาก แต่ซื้อมาอ่าน แป๊บเดียวก็จบแล้ว ไม่จุใจ เลยต้องไปหาเช่ามาอ่าน เช่ามาแต่ละที เป็นสิบๆเล่ม แต่ละเล่มก็หนาปึ้ก และ ต้องคืนวันรุ่งขึ้น เป็นการบีบให้เราต้องอ่านเร็วๆ

พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มเช่า พล นิกร กิมหงวน มาอ่าน ตอนอยู่ที่ รร.ผมก็ยืมหนังสือห้องสมุดมาอ่านจนแทบหมดห้องสมุดเลย

คือ การทำอะไรที่เรามี dead line จะช่วยกระตุ้นให้เรา activeมากขึ้น แต่ต้องเป็นสิ่งที่เราชอบด้วยนะครับ ถึงจะทำได้นานๆ และ ติดเป็นนิสัย

ผลดีที่คาดไม่ถึงของ speed reading คือ ทำให้ผมได้เปรียบเพื่อนมากในการเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เรียนหมอ ที่มีเนื้อหาตำราให้ท่องกันเยอะมาก ตำราสูงท่วมหัวเลยครับ ผมอ่านแป๊บเดียวก็ไปเที่ยวเล่นได้แล้ว ขณะที่เพื่อนๆอ่านกันไม่ค่อยทัน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ

ขออนุญาตพ่อธีร์คุยกับคุณหมอพ่อน้องพลอย

อ่านจากกระทู้ก่อนเห็นว่าคุณหมออยู่ที่ลำปาง

พอดีได้ทราบจากเพื่อนว่าที่ลำปางมีคุณหมอทำโรงเรียนอินเตอร์ที่จัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกิจกรรมโรงเรียน การจะให้เด็ก pass ชั้นมีการประชุมกันทั้งโรงเรียน

ถ้าคุณหมอรู้เรื่องหรือมีส่วนร่วมกับโรงเรียนนี้ ช่วยเล่าสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่พ่อแม่ที่อ่านบล๊อกนี้

เผื่อเป็นกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองจะได้ไปประยุกต์กับโรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่บ้าง

BJ กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ

speed reading ของเรา คิดว่าเป็นผลพลอยได้จาก
1. อยู่โรงเรียนประจำในกรุงเทพ คุณครูให้เขียนโพสการ์ดถึงพ่อแม่ที่ตจว. ทุกสัปดาห์
ด้วยลายมือโย้เย้ ทุกวันนี้คุณพ่อแม่ยังเก็บไว้เลยค่ะ

2. เวลาคุณแม่พาขึ้นรถไฟกลับบ้าน ตจว.
ชวนกันอ่านป้ายสถานีรถไฟเป็นประจำ
แต่ละสถานีจะมีให้อ่าน 3 ป้าย
คือ
- ป้ายตรงทางเข้าสถานี (บอกว่า สถานีที่ผ่านมาคือสถานีอะไร)
- ป้ายชื่อสถานี ส่วนมากจะอยู่ตรงศาลาทำการ
- ป้ายชื่อสถานีถัดไป

ต้องอ่านให้ทันค่ะ ... สถานีไหนรถไฟไม่ได้จอด เราก็จะได้รู้ว่าเป็นสถานีอะไร


3. เป็นลูกคนโต เวลาพ่อขับรถดึกๆ ก็ต้องช่วยคอยมองป้ายทาง อ่านป้ายทางหลวง
อ่านหลักกิโลเมตร เป็นประจำเลย แถมคอยชะโงกด้านขวาดูรถสวนทางให้พ่อด้วย

ที่จริงคุณพ่อไม่ได้เรียกร้องหรอกค่ะ
แต่คุณแม่สอนให้ช่วยดู ... คงเป็นกุศโลบายให้ลูกได้หัดทักษะพวกนี้ด้วย

หรือไม่งั้น ... คุณแม่ก็คงขี้เกียจเมื่อยปากคุย ให้ลูกดูป้ายแล้วพูดคนเดียว

อิอิ


ปล.
คุณหมอคะ หนึ่งขอความกรุณาขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อส่งทาง bhujong@gmail.com ด้วยค่ะ

เข้า hi5 จากที่ทำงานไม่ได้

มีเรื่องขอรบกวนนิดหน่อย

IcyKeng กล่าวว่า...

อีกหนึ่งบทความดีๆจากพ่อธีร์ เย้ เย้

IcyKeng กล่าวว่า...

อุ๊ย วันนี้ตอบได้ด้วย พากเพียรติดตามอ่านมาตลอดแต่ตอบไม่เคยได้นี่นา ไหงวันนี้ตอบได้เลยงงๆ

มาชวนคุยเรื่องอื่นก่อนไม่ว่ากันนะคะ วันก่อนไปลองดูหลักสูตรการสอนเลขของ shichida ที่เพิ่งมาเปิดตัวที่เมืองไทย บังเอิญญาติรู้จักกับหุ้นส่วน เลยเข้าไปหาข้อมูล หลักสูตรก็น่าสนใจเหมือนพาเด็กไปเล่น สื่อการสอนเค้าก็ดี ถ้าเอาลูกไปนั่งเล่นก็คงได้ประโยชน์ จริงๆเหมือนไปเอาเทคนิคเพื่อกลับมาเล่นกับลูก จริงๆเค้าก็เหมือนเอาเรื่องที่ในกลุ่มพ่อๆแม่ๆแถวนี้หละค่ะมาทำ แต่มีอุปกรณ์เสริม กะว่าถ้าราคาแบบหลักสูตรทั่วไปก็ว่าจะลงเพื่อพาบันบันวัยขวบสี่เดือนไปหาที่นั่งเล่น ที่ไหนได้ชั่วโมงละ 1 พันบาทค่ะ ช็อคสลบ แม่เก่งถอยทัพออกมาแทบไม่ทัน เลยคุยกับเจ้าของเค้ายาวเลย เปิดใหม่นึกว่าจะอยากได้ลูกค้าที่มีใจกับลูก ผิดหวังมากเลย

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

หวัดดีครับ คุณnk

แหะ แหะ ขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด
คือ วันก่อนเล่นมุข "ลำปางหนาวมาก"
มันมาจากเดี่ยว7 ของโน้ส อุดม เขาน่ะครับ
คือ เขาสังเกตว่า เวลาดูโทรทัศน์มันจะมีผู้ชมทางบ้าน
ที่ส่ง sms มาแสดงความคิดเห็น ตรงแถบล่างของจอ

จู่ๆก็มีข้อความ " ตอนนี้ ลำปางหนาวมาก"
"วันนี้ประจวบร้อนแล้ว" อะไรทำนองนี้น่ะครับ
เขาก็สงสัยว่าพวกนี้เขาคิดกันยังไงถึงได้ส่งข้อความนี้มา มีความหมายอะไรซ่อนเร้นที่อยากจะบอกคนอื่นหรือเปล่า หรือ เป็นกลุ่มอาการความเหงาทางสังคม

ผมไม่ได้อยู่ที่ลำปางครับ เคยแต่ไปเที่ยวที่นั่น
ดังนั้น คงตอบคำถามคุณnkไม่ได้ครับ แต่เห็นด้วยกับที่รร.ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำคัญๆในรร. มันดูอบอุ่นดีครับ

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

แวบแรกที่อ่านบทความพ่อธีร์ชิ้นนี้

ผมดันมีคำถามแปลกๆขึ้นมาว่า
การคำนวณเลขง่ายๆทุกวันนี่ทำให้คนเราเป็นอัจฉริยะขึ้นมาได้หรือเปล่า

อาชีพที่ต้องทำแบบนี้ทุกวันที่ผมคิดออก
ก็มีแค่พ่อค้า แม่ค้าในตลาดที่ต้องคิดราคา ซึ้อมา ขายไป รับเงินมา ทอนเงินไปทุกวันๆ

อีกอันก็คือพวกเสมียน กับ นักบัญชี

จู่ๆผมก็คิดไปถึง เสมียนหนุ่มคนนึงที่ทำงานที่สนง.จดสิทธิบัตร ที่กรุงเบิรน์ สวิสเซิอร์แลนด์

เสมียนคนนี้เป็นคนที่โดนยกย่องมากว่า เป็นอัจฉริยะ ที่ฉลาดที่สุดในโลกคนนึง ผลงานสะท้านโลกที่เขาเขียนขึ้นระหว่างเป็นเสมียนมีอยู่ 4 ชิ้น ตอนอายุ 26 ปี ได้แก่
1 photoelectric effect
2 Brownian motion
3 electrodynamics of moving bodies
4 mass–energy equivalence

ถึงตอนนี้เดาได้หรือยังครับว่า เสมียนหนุ่มคนนี้เป็นใคร

ใบ้ให้นิดนึงว่า ผลงานเหล่านี้เป็นรากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ กับ สมการอันลือลั่น E=mc2

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ

หลงเข้าใจผิดว่าคุณหมออยู่ลำปาง

ดิฉันว่านักบัญชียุคคอมพิวเตอร์คงไม่ค่อยจะได้บวกเลขแล้วค่ะ

พ่อน้องพลอย กล่าวว่า...

โดยส่วนตัวนะครับ(โปรดใช้วิจารณญาณ)

ผมคิดว่านาย Ryuta น่าจะศึกษาเรื่องนี้
ในผป.สูงอายุที่เริ่มหลงๆลืมๆ และพวกอัลไซเมอร์มากกว่าในเด็กนะครับ

ดังนั้น ประโยชน์ของการที่เราฝึกคำนวณเลขง่ายๆทุกวัน รวมไปถึงการอ่านออกเสียงดังๆ หรือ เขียนตัวอักษรคันจิ น่าจะเป็นในแง่การกระตุ้นสมอง เพื่อชะลอการเสื่อมของสมองมากกว่า
(ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่าผู้สูงอายุที่ยังทำงานใช้สมองทุกวัน จะดูกระฉับกระเฉง และ ไม่ค่อยหลงลืมง่ายเหมือนผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเฉยๆ)

ส่วนเรื่อง brain activity ที่วัดใน area ต่างๆของสมองจาก PET scan เป็นการวัดการใช้glucoseซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของสมอง และ การไหลเวียนเลือดในส่วนต่างๆของสมอง

ซึ่งตัวนี้ น่าจะบอกถึงความตื่นตัว(awareness)ของสมองมากกว่า คือพื้นที่ยิ่งมาก แปลว่า สมองยิ่งตื่นตัวมากกว่า (แต่ไม่ใช่เห็นพื้นที่มากกว่า แปลว่า ฉลาดมากกว่า)

ส่วนในเด็ก ผมคิดว่า อาจนำมาประยุกต์ใช้ ในแง่ของการ warm up สมอง เพื่อให้สมองตื่นตัว และ มีสมาธิพร้อม ก่อนการเข้าสู่บทเรียนต่างๆ มากกว่าที่จะให้ทำเช่นนี้ซ้ำๆเพียงอย่างเดียว แล้วคาดหวังว่าเด็กจะฉลาดขึ้นอะไรทำนองนั้นน่ะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ รออ่าน เรื่อง คณิตศาตร์ ใจจดใจจ่อ ถึงซักที
ขอ Comment เรื่อง speed reading ค่ะ เป็นเหมือนคุณพ่อน้องพลอย ค่ะ ตัวเอง ชอบอ่านนิยาย เป็นเล่มๆ ประมาณว่า อ่าน เพชรพระอุมา วันละเล่ม เพราะเช่ามา และก็ช่วยได้ตอนเรียนมหาลัย เหมือนกัน

เคยอ่านหนังสือ ของ โทนี บูซาน จำชื่อเรื่องไม่ได้ เค้าบอกว่า Speed Reading แบบนี้ จะช่วยในเรื่อง จับใจความสำคัญ ความคิดรวบยอด เพราะต้องอ่านแบบเร็ว เลยไม่สามารถ มาลง detail ได้ แต่ช่วยสมองส่วนใด นี่ แหะแหะ ไม่ทราบได้ค่ะ

คนสวยไม่ต้องมีชื่อ กล่าวว่า...

ดีใจมากค่ะที่กลับมาเรื่องคณิตศาสตร์อีกครั้ง

BJ กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ

วันนี้คุยกับคุณพ่อเรื่อง Brownian motion
พ่อบอกว่า เรื่อง เคออส (เหมือนทฤษฏีไร้ระเบียบ)

ทางฟิสิกส์ เรียกว่า บราวเนี่ยนโมชั่น
พ่อเราเพิ่งพูดตอนเช้า

ตอนบ่ายอ่านเห็นในนี้แล้ว

ดีจัง

ช่วยอธิบายได้ป่าวคะ

.
.

เดาว่าเสมียนคนนี้คือ ไอนสไตน์แน่ๆ
อิอิ

num กล่าวว่า...

มาทักทาย
ขอขอบคณเพราะแอบใช้แบบทดสอบให้ลูกทำ กำลังเริ่มทำ เลยมาขอคำแนะ คงไม่ว่าไรนะครับ

VARAVEE กล่าวว่า...

เมื่อพูดถึงเลข 100 ช่อง เราก็จะมักคิดว่า มันน่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วได้จริงหรือ หรือทำแค่นี้แล้วจะเรียนเลขเก่งหรือเป็นอัจฉริยะได้อย่างไร ครับ คุณหมอ

ผมแยกกันนะครับ ระหว่างการ WarmUp เพื่อเล่นกีฬา ยืดเส้นยืดสายกับการเล่นจริง

คือในบางครั้งที่เราไม่ได้เล่นกีฬาเราก็ยัง ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายใช่ไหมครับ

นั่นแหละครับ การที่เราทำเลข 100 ช่อง หมายความว่า เรากำลัง WarmUp นักกีฬาคณิตศาสตร์ของเราเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้น การ WarmUp จึงเป็นสิ่งสำคัญ คือในบางวันแม้เราไม่ได้เล่นกีฬา เราออกมาขยับแข้งขยับขา สัก 15 นาที ก็ยังดี


ถ้ายกตัวอย่าง กีฬา เวลาเล่น เวลาออกกำลังกาย จะต้องมีการฝึก Agility ฝึก Flexible ฝึก Strength แต่ไม่ได้เกี่ยวกับกีฬาเลย เพราะกีฬาทุกประเภท ก็ต้องฝึก เพียงแต่เราจะเอาความแข็งแรงของการฝึกจุดไหนมาดึงเพื่อเป็นจุดเด่น

เลข 100 ชิ่ง ครูมอง จินตคณิต หรืออะไรอื่นๆ เช่นกันครับ เป็นการ WarmUp เฉยๆ การ WarmUp ไม่ได้ช่วยให้เป็นนักกีฬา มืออาชีพได้ แต่จะทำให้เขาสามารถเล่นกีฬาในทุกประเภทได้แต่อาจไม่ถึงกับเก่ง เท่านั้นครับ

คราวนี้ คำถาม ต่อไป นะครับ

ระหว่าง Speed Reading กับ การอ่านออกเสียง โดยประเด็น แล้ว ผมคิดว่า มันทำให้ได้รับการอ่าน และเป็นการฝึกการอ่าน คือ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน เรารู้ว่าดีใช่ไหมครับ แต่ ทำอย่างไรไม่ให้เขาอ่านไปเรื่อยเปื่อยล่ะ อ่านแบบนั้นไม่มีประโยชน์ ยกตัวอย่าง เรารู้ คำว่า อิติปิโสภะคะวา เราก็อ่าน อ่านได้ อ่าน บาลีได้ แต่จับอะไรไม่ได้เลยในสิ่งที่อ่าน
การฝึกอ่านออกเสียง หรือ การฝึก Speed Reading จุดมุ่งหมายมันน่าจะอยู่ที่เดียวกันคือ ทำอย่างไรให้อ่านเป็น เมื่อคนเราอ่านเยอะ มันก็กกลายเป็น ดีขึ้นมา โดยส่วนตัวแล้ว ผมได้ฝึกมาทั้ง 2 อย่างนะครับ แบบที่ เคยบอกคุณภุชงค์ เวลาเรียนหนังสือตอนเล็ก ผมก็ต้องอ่านหนังสือดังๆให้พ่อฟัง พ่อก็นั่งสังสรรค์ หน้าบ้าน แต่เสียงเราต้องดังออกมาให้ พ่อได้ยิน บอกตามตรง เบื่อมากมากเลย ต้องมานั่งตะโกนอ่านหนังสือนี่

Kanji ก็ Mindmap ไม่มีปัญหา

แสดงความคิดเห็น

Subscribe